ในโลกที่เต็มไปด้วยรอยแผลจากประวัติศาสตร์การกดขี่ ความเหลื่อมล้ำ และเสียงของผู้ถูกละเลย คำว่า "woke" เคยเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังใหม่ หมายถึงการ "ตื่นรู้" ต่อความอยุติธรรมที่ฝังรากลึกในสังคม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเชื้อชาติ เพศ เพศสภาพ ชาติพันธุ์ หรืออัตลักษณ์เฉพาะกลุ่ม แนวคิดนี้เริ่มต้นด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์ และกลายเป็นพลังสำคัญที่ขับเคลื่อนขบวนการทางสังคมระดับโลก เช่น ขบวนการ Black Lives Matter, การผลักดันสิทธิ LGBTQ+, หรือการเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงระบบที่เลือกปฏิบัติอย่างแยบยล
ทว่ากาลเวลาผ่านไป “woke” ไม่ได้หยุดอยู่แค่ความตื่นรู้ มันเริ่มกลายพันธุ์ — จากแรงบันดาลใจสู่การครอบงำ จากเสรีภาพสู่การบังคับ จากการเรียกร้องสู่การลงโทษ และในที่สุดก็กลายเป็น ลัทธิล่าแม่มดยุคดิจิทัล ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังของโซเชียลมีเดีย การแชร์ และความโกรธที่ถูกจุดไฟง่ายกว่าเหตุผล
จุดเริ่มต้นของ Woke: ความหมายที่แท้จริง
คำว่า “stay woke” แต่เดิมเป็นคำแสลงที่มีรากเหง้ามาจากชุมชนคนผิวดำในสหรัฐอเมริกา ใช้เตือนกันให้ตื่นตัว ระแวดระวัง และรู้เท่าทันโครงสร้างอำนาจที่กดขี่ เช่น การเหยียดสีผิว การใช้ความรุนแรงจากเจ้าหน้าที่รัฐ หรือการเลือกปฏิบัติในระดับระบบที่ฝังลึกในชีวิตประจำวัน
เมื่อเข้าสู่ยุค 2010s แนวคิดนี้กลายเป็นกระแสหลักที่ผู้คนรุ่นใหม่จำนวนมากยึดถือเป็นค่านิยมร่วม มันกลายเป็นพลังบวกในการผลักดันความเปลี่ยนแปลงในระดับนโยบาย สื่อ การศึกษา และวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นการเรียกร้องให้สื่อสร้างภาพแทนที่หลากหลายขึ้น การปรับเปลี่ยนกฎหมายให้ครอบคลุมคนทุกกลุ่ม หรือแม้แต่การตั้งคำถามกับโครงสร้างทางสังคมที่เคยไม่ถูกแตะต้อง
จุดพลิกผัน: เมื่อความตื่นรู้กลายเป็นเครื่องมือของการครอบงำ
เมื่อโซเชียลมีเดียกลายเป็นเวทีหลักของการแสดงออก แนวคิด woke ก็เริ่มถูกผลักดันด้วยความเร็วและแรงที่เหนือกว่ากระบวนการทางสังคมแบบดั้งเดิม มันเริ่มกลายเป็นแนวคิดที่ไม่เปิดพื้นที่ให้ข้อสงสัย การตั้งคำถาม หรือมุมมองที่ต่างไป กลายเป็นรูปแบบของ "การเมืองของศีลธรรมสุดขั้ว" (moral absolutism) ที่แยกโลกออกเป็นเพียงสองขั้ว — ฝ่ายดีที่ตื่นรู้ กับฝ่ายชั่วที่ไม่เข้าใจ หรือเลวโดยอัตโนมัติ
และจากตรงนั้นเอง ปรากฏการณ์ Cancel Culture ก็ถือกำเนิดขึ้น — การเรียกร้องให้ตัดขาด เลิกสนับสนุน หรือทำลายชื่อเสียงของบุคคลหรือองค์กรที่เคยแสดงความเห็นหรือกระทำบางอย่างที่ไม่สอดคล้องกับกรอบ woke แม้สิ่งนั้นจะเป็นความเห็นจากเจตนาดี หรือเกิดในบริบทที่มีความซับซ้อนและหลากหลาย
Cancel Culture: การเผาแม่มดยุคดิจิทัล
ในประวัติศาสตร์ยุโรปยุคกลาง "การล่าแม่มด" เป็นการล่าหาคนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นภัยต่อศีลธรรมของสังคม ผู้หญิงหรือชายที่แตกต่าง แปลกประหลาด หรือเพียงแค่ไม่เข้ากับกรอบ ก็อาจถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดและถูกลงโทษโดยไร้กระบวนการยุติธรรมใด ๆ
ในยุคดิจิทัล เราไม่ได้เผาคนด้วยไฟอีกต่อไป แต่เราเผาด้วยการ cancel — การโจมตีทางออนไลน์ การแบน การตัดโอกาสในการทำงาน การทำลายภาพลักษณ์ และที่สำคัญคือการปิดกั้นการฟังเสียงอีกฝั่ง
ใครที่เผลอพูดผิด โพสต์ไม่ตรงกรอบ ใช้ศัพท์ไม่อัปเดต หรือมีมุมมองที่ตั้งคำถามกับวาทกรรมหลัก ก็เสี่ยงที่จะถูกตราหน้า โดนดึงออกจากเวทีสาธารณะ และถูกทำให้เงียบเสียงไปตลอดกาล โดยไม่มีพื้นที่ให้แก้ตัว ไม่มีโอกาสขอโทษ และไม่มีใครกล้าหยิบยกเรื่องนั้นขึ้นมาปกป้อง เพราะกลัวจะถูกลากไปด้วย
ตัวอย่างของการล่าแม่มด woke สุดโต่ง
ต่อไปนี้คือบุคคลที่ถูก cancel จากกระแส woke อย่างรุนแรง โดยที่หลายกรณีถูกตีความผิด เจตนาดี หรือมีบริบทที่สื่อและสังคมละเลย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงอันตรายของลัทธิล่าแม่มดยุคใหม่:
J.K. Rowling: ผู้แต่ง Harry Potter ถูกตราหน้าว่าเป็น “transphobic” เพียงเพราะตั้งคำถามเกี่ยวกับสิทธิของผู้หญิงในทางชีววิทยา และผลกระทบของการนิยามเพศแบบใหม่ เธอระบุชัดว่าไม่เกลียดคนข้ามเพศ แต่ห่วงว่าแนวคิดสุดโต่งบางแบบอาจไปลิดรอนสิทธิของผู้หญิงในพื้นที่เฉพาะทาง
Gina Carano: นักแสดงจากซีรีส์ The Mandalorian ถูกปลดออกจากบทบาทในปี 2021 หลังโพสต์ข้อความเกี่ยวกับการเมืองและเสรีภาพในการแสดงออก โดยมีการเปรียบเทียบแนวคิดทางการเมืองกับอดีตที่คนยิวถูกไล่ล่า แม้เธอจะอธิบายว่าไม่ได้มีเจตนาเหยียด แต่กระแสในโซเชียลมีเดียรุนแรงมากจน Lucasfilm ตัดสินใจยุติสัญญาอย่างทันที
Dave Chappelle: นักแสดงตลกชื่อดังที่ใช้เวทีสแตนด์อัพเพื่อวิจารณ์วัฒนธรรม woke และ cancel culture ในผลงาน The Closer และ Sticks and Stones เขาถูกกลุ่มบางส่วนกล่าวหาว่าล้อเลียนชาวทรานส์อย่างไม่เหมาะสม แม้เนื้อหาจะเป็นส่วนหนึ่งของการตั้งคำถามต่อสังคม แต่เขาก็เผชิญกับการประท้วง การเรียกร้องให้ถอดเนื้อหาจาก Netflix และคำกล่าวหาว่า “เป็นภัยต่อความปลอดภัยของชุมชน”
Sir Tim Hunt: นักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลชาวอังกฤษ กล่าวมุขติดตลกในงานสัมมนาว่า “ผู้หญิงทำให้ผู้ชายในห้องแล็บไม่มีสมาธิ” คำพูดนี้ถูกสื่อบางแห่งรายงานโดยไม่ลงรายละเอียด เขาถูกสังคมมองว่าเป็นผู้เหยียดเพศ และต้องลาออกจากตำแหน่งในหลายสถาบัน แม้จะมีเพื่อนร่วมงานหญิงหลายคนออกมาปกป้องว่าเขาไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น
Justine Sacco: ผู้บริหารฝ่ายสื่อสารองค์กร โพสต์ทวีตที่ตั้งใจจะเสียดสีว่า “หวังว่าจะไม่ติดเอดส์ระหว่างบินไปแอฟริกา — ล้อเล่น! ฉันเป็นคนผิวขาวนะ” ขณะเธออยู่บนเครื่องบิน กระแสโซเชียลถล่มทันที และเมื่อเครื่องลง เธอกลายเป็นเป้าถูก “เผา” จนถูกไล่ออกจากงาน ทั้งที่เมื่ออ่านข้อความในบริบทเต็มแล้วจะเห็นว่าเป็นการประชดการเหมารวมอย่างชัดเจน
Chimamanda Ngozi Adichie: นักเขียนหญิงชาวไนจีเรียเจ้าของผลงานระดับโลก เช่น We Should All Be Feminists เธอเคยให้สัมภาษณ์ว่า "trans women are trans women" — แม้จะไม่ได้ปฏิเสธสิทธิของคนข้ามเพศ แต่ก็ถูกกล่าวหาว่าไม่ inclusive พอ ส่งผลให้เธอถูกตัดออกจากเวทีสื่อหลายแห่ง และต้องเขียนบทความยาวเพื่อตอบโต้ว่า cancel culture นั้นเป็นภัยต่อเสรีภาพของนักเขียนและสังคม
Biddy O’Loughlin: นักแสดงตลกชาวออสเตรเลีย โดนยกเลิกโชว์หลังพูดถึงประเด็น trans และ disability ด้วยภาษาตลกที่ถูกมองว่าไม่เหมาะสม เธอถูก cancel ทั้งที่ตั้งใจแสดงเพื่อสะท้อนความจริงเชิงเสียดสี แต่ไม่มีใครเปิดพื้นที่ให้เธออธิบายว่าไม่ได้มีเจตนาร้ายหรือเหยียดหยาม
ตัวอย่างเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้บุคคลเหล่านี้จะไม่ได้มีเจตนาไม่ดี แต่กลับถูกกระแสสังคมลากไป “เผา” อย่างรวดเร็ว ทั้งที่แต่ละเรื่องล้วนมีบริบทและความซับซ้อนซึ่งควรได้รับการพิจารณาอย่างเป็นธรรม
ทำไมเราถึงควรกังวล?
เพราะสิ่งที่เริ่มจากความตั้งใจดี กำลังกลายเป็นระบบที่บีบบังคับให้ผู้คนต้องคิด พูด และแสดงออกอย่างหวาดระแวง
หากเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นถูกจำกัดอยู่แค่ในกรอบที่ฝ่ายหนึ่งกำหนด เราจะยังสามารถเรียกตัวเองว่าเป็นสังคมเสรีประชาธิปไตยได้หรือไม่?
หากเรากลัวจะถูก cancel มากเกินกว่าจะกล้าแสดงความเห็นตรงไปตรงมา เรากำลังเดินเข้าสู่สังคมที่ไม่มีใครกล้าคิด ไม่มีใครกล้าถาม และไม่มีใครกล้าตั้งข้อสังเกต — ซึ่งนั่นคือสังคมที่ไม่พัฒนาอีกต่อไป
สรุป
“woke” เริ่มต้นจากความตื่นรู้ต่อความอยุติธรรม และการเรียกร้องสิทธิให้กับผู้ถูกมองข้าม
แต่เมื่อถูกขับเคลื่อนโดยความโกรธแทนเหตุผล มันก็กลายเป็นอาวุธแห่งศีลธรรมที่ใช้ทำร้าย
วันนี้ ลัทธิ woke สุดโต่งได้เปลี่ยนเส้นทางจากการปลดปล่อยสู่การควบคุม — จากการเรียกร้องสิทธิสู่การบงการความคิด และจากพื้นที่ถกเถียงสู่พื้นที่ล่าแม่มด
เราควรกลับมาเปิดพื้นที่ให้เสียงที่ต่างกันได้พูด ฟังอย่างเข้าใจ เห็นต่างโดยไม่ต้องเกลียด และโต้แย้งกันด้วยเหตุผลแทนอารมณ์
เพราะในโลกที่ทุกคนกลัวจะพูด ไม่มีใครกล้าคิด และในโลกที่ไร้การตั้งคำถาม สุดท้ายสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ก็คือ “อำนาจของเสียงที่ดังที่สุด” ไม่ใช่ “เสียงที่มีเหตุผลที่สุด”