ช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา คนไทยจำนวนมากเริ่มตั้งคำถามและรู้สึกไม่สบายใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาอีกครั้ง รัฐบาลพนมเปญได้ยื่นเรื่องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เพื่อให้พิจารณาข้อพิพาทในพื้นที่ชายแดน 4 จุดสำคัญ ได้แก่ ปราสาทตาเมือนธม, ปราสาทตาเมือนโต๊ด, ปราสาทตาควาย และบริเวณช่องบก ซึ่งในอดีตเคยมีข้อพิพาทและไทย-กัมพูชาเคยใช้กลไกทวิภาคีในการจัดการกันอย่างระมัดระวังมายาวนานหลายสิบปี
ใครที่เคยผ่านเหตุการณ์ปราสาทพระวิหารเมื่อสิบกว่าปีก่อน คงรู้สึกเหมือนกันว่าเหตุการณ์นี้คล้ายกันราวกับภาพซ้ำ—การใช้เวทีตุลาการระหว่างประเทศเพื่อยกประเด็นดินแดนกลับขึ้นมาเป็นกระแสร้อนอีกครั้ง สร้างภาพให้ไทยดูเป็นฝ่ายละเมิด แล้วกลับไปใช้ในประเทศตัวเองเพื่อขายความสำเร็จทางการเมืองว่า “เราชนะอีกแล้ว” ทั้งที่ในความเป็นจริง เรื่องเหล่านี้ควรค่อย ๆ เจรจา ไม่ใช่ปั่นเป็นกระแสเพื่อหวังแต้มทางการเมืองภายในประเทศฝ่ายเดียว
กัมพูชาคิดอะไรอยู่?
ฝ่ายกัมพูชาอ้างว่ายังมีพื้นที่ที่ “ยังตีความไม่ครบ” จากคำตัดสินของศาลโลกปี พ.ศ. 2505 ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ศาลตัดสินเฉพาะเรื่องเขตแดนบริเวณปราสาทพระวิหารเท่านั้น ไม่ได้พูดถึงหรือวางเขตแดนใหม่ในพื้นที่อื่น แต่ทางกัมพูชากลับนำคำพิพากษาเดิมมาขยายตีความ หวังจะดึง ICJ กลับมาใช้เป็นเครื่องมืออีกรอบ ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคำตัดสินเดิมโดยตรง
สิ่งที่หลายคนตั้งคำถามคือ ทำไมเรื่องนี้ถึงถูกหยิบยกขึ้นมา “ตอนนี้”? เหตุผลไม่ยากจะเข้าใจ—การเมืองภายในกัมพูชากำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ผู้นำรุ่นลูกอย่างฮุน มาเนต ยังไม่มีฐานที่มั่นคงเท่าพ่อ ระบบเศรษฐกิจเริ่มฝืดเคือง ความเชื่อมั่นในรัฐบาลก็ไม่เต็มร้อย แล้วอะไรจะง่ายกว่าการสร้างศัตรูภายนอก? ยื่นฟ้องไทย ปลุกความรู้สึก “เราถูกคุกคาม” แล้วหันเหความสนใจจากปัญหาภายใน กลายเป็นวาทกรรมชาตินิยมที่ใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย
ไทยอยู่ตรงไหน?
ฝ่ายไทยโดยรัฐบาลออกมายืนยันอย่างชัดเจนว่าไม่รับรองเขตอำนาจของศาลโลกในกรณีนี้ เพราะเห็นว่าไม่ได้เป็นข้อพิพาทใหม่ และอยู่นอกกรอบคำพิพากษาเดิม ไทยยืนยันที่จะเดินหน้าบนกลไกที่เคยตกลงกันไว้ เช่น MOU ปี 2543 และคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ซึ่งเป็นเวทีที่สองฝ่ายเคยใช้เจรจาด้วยดีมาโดยตลอด
แต่ในขณะเดียวกัน กระแสความไม่พอใจในหมู่ประชาชนก็เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ สื่อหลายสำนักเริ่มรายงานข่าวเข้มขึ้น โซเชียลมีเดียเต็มไปด้วยเสียงสะท้อนว่า “อีกแล้วเหรอ?” และที่สำคัญคือ ข่าวจากชายแดนก็ไม่ใช่เรื่องเงียบสงบอีกต่อไป มีรายงานว่าทหารไทยต้องยิงเตือนหรือไล่กลับกองกำลังจากฝั่งกัมพูชาที่รุกล้ำเข้ามาในพื้นที่พิพาท ซึ่งยิ่งตอกย้ำว่าเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เกมการเมืองในห้องประชุม แต่เริ่มลามมาถึงพื้นที่จริงที่มีชีวิตของผู้คน
หลายคนในสังคมไทยเริ่มหมดความอดทน ความรู้สึกว่า “ไทยใจเย็นมาตลอด แต่กลับโดนเล่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า” เริ่มสะสมและปะทุขึ้นใหม่
**ย้อนดูพัฒนาการของข้อพิพาทชายแดน
-
พ.ศ. 2505 – ศาลโลก (ICJ) มีคำตัดสินให้กัมพูชามีสิทธิ์เหนือ ตัวปราสาทพระวิหาร แต่ไม่ได้ตัดสินเส้นเขตแดนรอบปราสาททั้งหมด
-
พ.ศ. 2543 – ไทย-กัมพูชา ทำ MOU เรื่องการจัดทำแผนที่ร่วมกัน (Joint Boundary Commission - JBC) เป็นเวทีแก้ปัญหาด้วยสันติวิธี
-
พ.ศ. 2551–2554 – เกิดเหตุปะทะหลายครั้งที่ชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อกัมพูชาเสนอขึ้นทะเบียนมรดกโลกโดยไม่ผ่านไทย
-
พ.ศ. 2556 – ICJ ตีความใหม่ ให้กัมพูชามีสิทธิ์เหนือ “บริเวณใกล้เคียงปราสาทพระวิหาร” แต่ไม่ได้ขยายเขตแดนอื่น
-
พ.ศ. 2567–2568 – รัฐบาลกัมพูชายื่นคำร้องใหม่ต่อ ICJ หวังขยายพื้นที่อีก 4 จุด ซึ่งไทยมองว่า “เกินจากคำพิพากษาเดิม”
เห็นได้ชัดว่าไทยใช้แนวทางกฎหมายและการเจรจามาตลอด แต่ฝ่ายกัมพูชากลับวนกลับมาเล่นเกมเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ไทยควรเดินเกมอย่างไร?
นี่ไม่ใช่เวลาจะอ่อนข้อ และก็ไม่ใช่เวลาที่ควรหัวร้อนเสียหลัก เราต้องเล่นเกมนี้อย่างมีศักดิ์ศรี ชัดเจน แข็งแรง และไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือของการเมืองเพื่อนบ้านอีกต่อไป
-
อย่าให้ ICJ ถูกใช้เป็นเวทีโฆษณาการเมือง
-
ไทยควรยืนยันไม่รับเขตอำนาจของศาลในกรณีนี้อย่างชัดเจน พร้อมระบุว่าประเด็นเหล่านี้ควรแก้ไขผ่านกลไกที่ตกลงกันไว้ เช่น JBC ไม่ใช่กระโดดข้ามขั้นตอนมาสู่เวทีโลก
-
-
เปลี่ยนพื้นที่พิพาทเป็นพื้นที่ผลประโยชน์ร่วม ไม่ใช่ผลประโยชน์ฝ่ายเดียว
-
ถ้าจำเป็นต้องหาทางออกเฉพาะหน้า ไทยควรเสนอรูปแบบ “เขตพัฒนาร่วม” ที่ทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์เท่าเทียม ไม่ใช่การที่ไทยถอย แล้วอีกฝ่ายใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง
-
-
ตั้งผู้แทนที่มีวุฒิภาวะจริง ไม่ใช่คนเอาคะแนนเสียง
-
การส่งนักการทูตอาวุโส ผู้รู้ทางประวัติศาสตร์ หรือผู้นำชุมชนที่มีน้ำหนัก จะช่วยเจรจาได้อย่างมีเหตุผล และหลีกเลี่ยงการปลุกกระแสเกลียดชังที่ไม่จำเป็น
-
-
เปิดพื้นที่ให้คนไทยแสดงพลังแบบมีวิจารณญาณ
-
ควรกระตุ้นให้ประชาชนรู้เท่าทันว่าเราถูกลากเข้าสู่เกมการเมืองของประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ใช่ให้เกลียดคนเขมรทั้งชาติ แต่ควรโฟกัสไปที่พฤติกรรมของผู้นำที่ใช้กลยุทธ์ซ้ำซาก
-
-
ใช้เวทีโลกยืนยันความเป็นผู้ใหญ่ของไทย
-
สื่อสารไปยังประชาคมโลกว่าไทยยึดมั่นในกติกา แต่ก็ไม่ยอมให้ใครมาใช้กระบวนการตุลาการเพื่อหาแต้มทางการเมืองฝ่ายเดียว หากจะมีใครต้องเสียเครดิต ควรเป็นผู้ที่เปิดเกมแบบนี้เอง
-
ไม่ใช่ครั้งแรก และจะไม่ใช่ครั้งต่อไปโดยไม่มีราคา
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผู้นำกัมพูชาบางคนใช้ไทยเป็นเครื่องมือในการเบี่ยงเบนความสนใจประชาชนของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นยุคฮุน เซน หรือเครือข่ายเดิม ๆ วาทกรรมก็วนกลับมาแบบเดิม—ดินแดน, ปลุกกระแส, ฟ้องศาล, สร้างภาพ แล้วจบลงที่คนไทยต้องตอบคำถามในเวทีระหว่างประเทศอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้ควรต่างออกไป
ถ้ากัมพูชายังเลือกเดินทางเดิม ไทยควรทำให้เขาได้บทเรียน ว่าการใช้เวทีโลกเพื่อจุดประสงค์ทางการเมืองในประเทศ ย่อมมีราคาที่ต้องจ่าย ไม่ใช่ด้วยกระสุนหรือกำลังทหาร แต่เป็นด้วยภาพลักษณ์ ความเชื่อถือ และแรงต้านในระดับภูมิภาค ซึ่งเขาเองก็หลีกเลี่ยงไม่ได้
ไทยไม่จำเป็นต้องอยากให้เพื่อนบ้านล่มจม แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นตัวประกอบซ้ำ ๆ ในบทละครการเมืองของเขาทุกยุคทุกสมัย
แต่ในความเป็นจริง หลายคนก็เริ่มรู้สึกว่าไทย “แข็งกร้าวไม่จริง” แค่แสดงท่าทีขึงขังทางวาทกรรม แต่กลับไม่มีการตอบโต้อย่างเด็ดขาด หรือไม่มีการเดินเกมทางการทูตและกฎหมายที่รวดเร็วและมั่นคงพอ การปล่อยให้เรื่องนี้ยืดเยื้อโดยไม่มีท่าทีชัดเจนอาจทำให้กลายเป็นการ “ดึงเกม” ที่ส่งผลเสียกับไทยเองในระยะยาว เพราะประวัติศาสตร์เคยสอนเราแล้วว่า การนิ่งเกินไปอาจนำไปสู่สถานการณ์ที่คล้ายกับกรณีปราสาทพระวิหาร ที่สุดท้ายไทยถูกตัดสินให้เสียเปรียบและไม่สามารถเรียกกลับมาได้อีก
ประเทศไทยไม่ใช่สนามซ้อมของคนที่ชอบใช้ “ความเกลียด” เป็นอำนาจในการปกครอง
ไทยมีอะไรต้องเสีย ถ้าเดินเกมพลาด?
-
อธิปไตยในพื้นที่พิพาท ที่เคยรักษาไว้ด้วย MOU อาจถูกตีความให้เสียเปรียบโดยศาลโลก หากฝ่ายไทยไม่เตรียมข้อมูลและหลักฐานให้ครบถ้วน
-
ผลกระทบต่อชุมชนชายแดน – การฟ้องร้องและข่าวลือสร้างความหวาดกลัวให้กับชาวบ้านและธุรกิจในพื้นที่ ซึ่งอาจสูญเสียสิทธิ์ในที่ดินหรือเส้นทางสัญจร
-
ภาพลักษณ์ความมั่นคงของรัฐ – หากรัฐบาลแสดงท่าทีลังเลหรือประนีประนอมเกินควร จะกระทบความเชื่อมั่นทั้งในประเทศและต่างประเทศ
-
กลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ – หากยอมให้การตีความใหม่ของกัมพูชาเกิดผลสำเร็จ อาจมีประเทศอื่นเลียนแบบการใช้ศาลโลกเพื่อขยายเขตแดนในอนาคต
และในมุมของคนไทยเอง เราก็ต้องระวังไม่ให้ถูกใช้เป็นเบี้ยล่างทางการเมืองโดยรัฐบาลของเราเอง เพราะช่วงเวลาที่ประเด็นชายแดนถูกจุดขึ้นมานั้น มันดันไปตรงกับกระแสข่าวใหญ่ในประเทศพอดี—ทั้งเรื่องอดีตนายกฯ ทักษิณที่ไม่ต้องติดคุกจริงจัง ทั้งเรื่องงบประมาณกลาโหมที่เพิ่มขึ้นสวนทางกับความเดือดร้อนของประชาชน
หลายฝ่ายเริ่มตั้งข้อสังเกตว่า ฝ่ายบริหารอาจกำลังใช้ประเด็นความมั่นคงระหว่างประเทศมาทำให้ประชาชนเบนความสนใจออกจากปัญหาในประเทศ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงเวลาที่ประชาชนจำนวนมากกำลังตั้งคำถามต่อกระบวนการยุติธรรมที่ดูเหมือนจะเอื้อประโยชน์ให้กับผู้มีอำนาจ เช่น กรณีอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ที่ได้รับการลดหย่อนโทษจนแทบไม่ต้องรับโทษจำคุก ทั้งที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดชัดเจน นอกจากนี้ ยังมีประเด็นงบประมาณกลาโหมที่เพิ่มขึ้นสวนทางกับเศรษฐกิจของประชาชน ที่ยังคงเผชิญกับค่าครองชีพสูง รายได้ไม่พอรายจ่าย และบริการสาธารณะที่ถดถอย
รัฐบาลเองก็เงียบกับปัญหาเหล่านี้ แต่กลับแสดงท่าทีแข็งกร้าวเมื่อมีเรื่องชายแดน กลายเป็นการสร้างภาพว่ารัฐบาล “ปกป้องประเทศ” ทั้งที่อาจเพียงใช้กระแสดังกล่าวเพื่อกลบเสียงวิจารณ์ในประเทศให้เบาลง
เพราะงั้น เรื่องนี้ไม่ใช่ “win-win” อย่างที่บางคนพยายามวิเคราะห์ แต่เป็นการที่กัมพูชาได้กระแสชาตินิยม ส่วนไทยเองก็อาจแค่ได้ “เบี่ยงข่าวชั่วคราว” โดยแลกกับศักดิ์ศรีระยะยาว
และถ้ากัมพูชาคิดว่าเหตุการณ์จะจบแบบเดิม—แบบที่ได้หน้า ได้แต้ม ได้กระแสในประเทศไปอีกครั้ง
ก็ต้องบอกให้ชัดไว้ตรงนี้เลยว่า สำหรับคนไทยจำนวนมาก เรื่องนี้ไม่ใช่การเล่นละครแบบ win-win อย่างที่บางคนวิเคราะห์กันว่ากัมพูชาได้ปั่นกระแสชาตินิยม ส่วนไทยก็ได้เบี่ยงเบนความสนใจจากประเด็นในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการที่อดีตนายกฯ อย่างทักษิณไม่ต้องติดคุก หรือปัญหางบประมาณกลาโหมที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่มีเหตุผลชัดเจน
ถ้าใครกำลังเล่นเกมแบบนั้นจริง ๆ — เอาความมั่นคงของชาติ เอาอธิปไตยมาใช้กลบข่าวในประเทศ — นั่นคือการหักหลังประชาชนโดยตรง
ประเทศไทยต้องจริงจังกับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะต้องสู้กับกัมพูชาอย่างเดียว แต่เพราะเราต้องไม่ปล่อยให้ใครในประเทศใช้วิกฤตระหว่างประเทศมาปกปิดความล้มเหลวของตัวเอง