ในบริบทของรัฐศาสตร์สมัยใหม่ การก่อตัวของรัฐชาติไม่เพียงเป็นผลลัพธ์ของเจตจำนงร่วมทางอุดมการณ์หรือผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ แต่ยังมีมิติที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับประวัติศาสตร์บาดแผล (traumatic pasts), ความทรงจำทางการเมือง (political memory), และกระบวนการก่อรูปอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ (ethno-national identity formation) ผ่านความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
บทความนี้เสนอว่า หลายรัฐในโลกสมัยใหม่มิได้ถือกำเนิดขึ้นด้วยอุดมคติของความยุติธรรมและการรวมศูนย์เพื่อความเท่าเทียม หากแต่เกิดจากกระบวนการสร้างอัตลักษณ์โดยอ้างอิงความเป็น "เหยื่อ" ของระบบหรืออำนาจในอดีต โดยอาศัยบาดแผลเหล่านั้นเป็นทุนทางการเมืองในการสร้างความชอบธรรมให้กับการใช้ความรุนแรงหรือการกดขี่ต่อกลุ่มอื่นที่ถูกทำให้กลายเป็น "ผู้อื่น" (the Other)
เมื่ออำนาจเปลี่ยนมือ กลุ่มที่เคยอยู่ชายขอบอาจกลายเป็นชนชั้นปกครองที่ไม่เพียงสถาปนาอำนาจใหม่ แต่ยังสร้างกลไกทางอุดมการณ์และวาทกรรมเพื่อดำรงความเหนือกว่าผ่านการกดขี่ซ้ำรอยแบบใหม่ ซึ่งอาจรุนแรงและแยบยลยิ่งกว่ารูปแบบที่ตนเคยประสบในอดีต
กรณีศึกษาทั้ง 10 ประเทศในบทความนี้สะท้อนให้เห็นกลไกเชิงโครงสร้างและวาทกรรมดังกล่าวอย่างเป็นระบบ โดยวิเคราะห์ผ่านกรอบแนวคิดเรื่อง Cycle of Oppression, การก่อรูปอัตลักษณ์ทางการเมือง (Political Identity Construction), และ Nation-Building เชิงกีดกัน (Exclusionary Nationalism) ซึ่งช่วยอธิบายได้ว่า ทำไมและอย่างไร รัฐที่ถือกำเนิดจากการถูกกดขี่จึงสามารถกลายเป็นรัฐที่กดขี่ได้เช่นเดียวกัน
ปรากฏการณ์ของการผลิตซ้ำการกดขี่ในโครงสร้างรัฐ
นักรัฐศาสตร์ นักจิตวิทยาการเมือง และนักสังคมวิทยาเสนอแนวคิดร่วมกันว่า ประสบการณ์ของการถูกกดขี่ในระดับบุคคลหรือกลุ่มมักถูกก่อรูปเป็น "ความทรงจำร่วม (collective memory)" และกลายเป็นวาทกรรมที่มีอิทธิพลต่อโครงสร้างอำนาจในอนาคต
ผู้ที่เคยถูกลดทอนสิทธิ เสรีภาพ หรือความเป็นมนุษย์ อาจสร้างอัตลักษณ์ใหม่ผ่านการแยกตัวเองออกจากกลุ่มที่เคยกดขี่ รวมถึงกลุ่มที่เปราะบางอื่น ๆ เพื่อผลิตความมั่นคงให้กับอัตลักษณ์ของตน การกระทำดังกล่าวก่อให้เกิดวงจรของการกดขี่ที่หมุนวน (recursive oppression)
ลักษณะร่วมที่ปรากฏ ได้แก่:
-
การสร้างอัตลักษณ์ใหม่ที่ปฏิเสธอดีต และพยายามล้างหรือกลบเกลื่อนความเจ็บปวดในอดีต ด้วยการกำหนดศัตรูใหม่ในทางการเมือง
-
การผลิตวาทกรรมแห่งความเหนือกว่า (superiority discourse) ที่อ้างอิงอารยธรรม ศาสนา หรือเชื้อชาติ เพื่อทดแทนความรู้สึกต่ำต้อยในอดีต
-
การสถาปนาความชอบธรรมของรัฐผ่านกลไกทางกฎหมายและวัฒนธรรม ในการแบ่งแยกและควบคุมกลุ่มอื่น เช่น กฎหมายความมั่นคง วาทกรรมชาติพันธุ์นิยม หรือโครงสร้างการศึกษาแบบบีบบังคับ
เมื่อพิจารณาในภาพรวม การกดขี่จึงไม่ใช่เพียงปฏิบัติการที่รัฐกระทำต่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หากแต่เป็นโครงสร้างทางสังคมที่สร้างความมั่นคงให้กับอัตลักษณ์ของรัฐและชนชั้นนำในช่วงเปลี่ยนผ่านของอำนาจ
1. สหรัฐอเมริกา: อุดมการณ์แห่ง 'Manifest Destiny' และการพิชิตผ่านศีลธรรม
สหรัฐอเมริกาสมัยใหม่ก่อตั้งโดยผู้อพยพจากยุโรปที่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชายขอบในสังคมต้นทาง เช่น โปรเตสแตนต์หัวแข็ง, ผู้หนีภัยสงครามศาสนา, หรือผู้ไร้สิทธิในระบบฟิวดัลอังกฤษ การย้ายถิ่นฐานสู่ดินแดนใหม่จึงถูกจินตนาการว่าเป็น "พันธกิจจากพระเจ้า" เพื่อก่อตั้งอารยธรรมใหม่บนพื้นฐานของความบริสุทธิ์ทางจิตวิญญาณและเสรีภาพ
อุดมการณ์ Manifest Destiny ทำหน้าที่เป็นวาทกรรมหลักที่ให้ความชอบธรรมทางศีลธรรมแก่การยึดครองดินแดนพื้นเมืองอินเดียนแดง และการใช้แรงงานทาสชาวแอฟริกัน การขยายอาณาเขตกลายเป็นภารกิจศักดิ์สิทธิ์ ภายใต้ระบบที่สร้างความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในที่ดิน การศึกษา หรือแม้แต่ความเป็นมนุษย์
กระบวนการนี้ไม่เพียงสะท้อนการสถาปนาอำนาจผ่านการกดขี่ แต่ยังกลายเป็นต้นแบบของรัฐสมัยใหม่ที่ใช้วาทกรรมความดีเพื่อกลบเกลื่อนความรุนแรงของการยึดครอง
2. ออสเตรเลีย: จากนักโทษสู่ผู้กุมระบบอาณานิคมทางวัฒนธรรม
ออสเตรเลียในฐานะอาณานิคมของจักรวรรดิอังกฤษ เคยถูกใช้เป็นสถานที่เนรเทศนักโทษหรือผู้ไร้สิทธิในสังคมบริเตน ผู้ตั้งถิ่นฐานชุดแรกจึงเป็นผู้ที่ถูกทอดทิ้งจากระบบเดิมอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม เมื่อสามารถตั้งหลักและสร้างโครงสร้างรัฐขึ้นมาได้ กลุ่มนี้กลับกลายเป็นชนชั้นปกครองที่สถาปนาอำนาจผ่านการกดขี่กลุ่มชนพื้นเมืองอะบอริจินอย่างเป็นระบบ ทั้งในด้านพื้นที่ การศึกษา ภาษา และประวัติศาสตร์
รัฐสมัยใหม่ของออสเตรเลียจึงผลิตอัตลักษณ์แบบ "White Australia" ซึ่งกลบเกลื่อนอดีตอันแปดเปื้อนของตน พร้อมกับผลิตวาทกรรมแห่งอารยธรรมเพื่อผลักคนพื้นเมืองออกนอกระบบ
3. อิสราเอล: รัฐที่เกิดจาก Holocaust แต่ใช้การยึดครองเป็นเครื่องมือ
การก่อตั้งรัฐอิสราเอลในปี 1948 เป็นผลจากความเจ็บปวดลึกซึ้งของชาวยิวที่เคยเผชิญกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในยุโรป (Holocaust) การสร้างรัฐจึงเป็นทั้งภารกิจทางจิตวิญญาณและทางการเมืองในการรักษาความอยู่รอดของอัตลักษณ์ยิว
อย่างไรก็ตาม กระบวนการสถาปนารัฐดังกล่าวเกิดขึ้นบนพื้นฐานของการเบียดขับและยึดครองดินแดนปาเลสไตน์ที่มีประชากรอาหรับอยู่มาก่อน โดยได้รับการสนับสนุนจากมติขององค์การสหประชาชาติปี 1947 ที่เสนอการแบ่งดินแดน
รัฐอิสราเอลในเวลาต่อมาใช้กลไกความมั่นคง การควบคุมพรมแดน และกฎหมายทหาร เพื่อจำกัดสิทธิในการเคลื่อนไหวของชาวปาเลสไตน์ในเขตเวสต์แบงก์และฉนวนกาซา ภายใต้วาทกรรมแห่งภัยคุกคามถาวรที่สืบทอดจากความทรงจำของการเป็นเหยื่อ
4. สาธารณรัฐประชาชนจีน: การรวมศูนย์ผ่านการลบอัตลักษณ์ชายขอบ
ภายหลังการล่มสลายของราชวงศ์ชิง จีนต้องเผชิญการรุกรานจากมหาอำนาจตะวันตก การเสียดินแดน และการล่มสลายของศักดิ์ศรีแห่งชาติ
พรรคคอมมิวนิสต์จีนจึงใช้วาทกรรมแห่งการฟื้นฟูศักดิ์ศรี (national rejuvenation) และความเป็นเอกภาพทางการเมืองเป็นเครื่องมือหลักในการรวมศูนย์อำนาจ และจัดระเบียบกลุ่มชาติพันธุ์ชายขอบ เช่น ชาวทิเบต อุยกูร์ และมองโกล
เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ การควบคุมภาษา, การสอดแนมประชากร, การกำกับศาสนา และการกดวัฒนธรรมท้องถิ่น เพื่อทำให้กลุ่มเหล่านี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของรัฐจีนแบบสมบูรณ์ (Sinicization)
5. ญี่ปุ่น: ความพยายามเทียบฝรั่งด้วยการเป็นจักรวรรดิ
ญี่ปุ่นในยุคเมจิเริ่มต้นจากความรู้สึกด้อยค่าภายใต้แรงกดดันของจักรวรรดิตะวันตก การเปิดประเทศภายใต้แรงบีบบังคับของสหรัฐฯ (เรือดำ) ทำให้ผู้นำญี่ปุ่นเกิดแรงผลักดันในการเร่งรัฐให้ทันกับอารยธรรมโลก
การปฏิรูปภาครัฐ กองทัพ การศึกษา และระบบราชการแบบตะวันตก นำไปสู่การเกิดจักรวรรดิญี่ปุ่นที่ใช้แบบจำลองตะวันตกในการล่าอาณานิคมในเอเชียตะวันออก เช่น การยึดเกาหลีและไต้หวัน การรุกรานจีน และการปกครองแบบเผด็จการทางทหารในดินแดนที่ยึดครอง
6. ตุรกี: การก่อตั้งรัฐชาติเชิงปฏิเสธความหลากหลาย
รัฐสมัยใหม่ของตุรกีภายใต้การนำของมุสตาฟา เคมาล อตาเติร์ก เกิดจากการล่มสลายของจักรวรรดิออตโตมันซึ่งเคยปกครองดินแดนที่หลากหลายเชื้อชาติและศาสนา
ภายใต้เป้าหมายในการสร้างรัฐชาติแบบตะวันตก ตุรกีเลือกผลิตอัตลักษณ์แบบเดียว (Turkishness) และกดทับอัตลักษณ์อื่น เช่น เคิร์ด อาร์เมเนีย และกรีก โดยใช้กฎหมาย การศึกษาภาคบังคับ และการควบคุมสื่อสารมวลชน
7. แอฟริกาใต้: โครงสร้างรัฐที่ยึดครองโดยคนส่วนน้อย
โครงสร้างรัฐในแอฟริกาใต้ในศตวรรษที่ 20 เป็นหนึ่งในกรณีศึกษาที่ชัดเจนของรัฐที่ผลิตซ้ำการกดขี่แบบสถาบัน คนผิวขาวซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยควบคุมโครงสร้างอำนาจและทรัพยากรทั้งหมดผ่านระบบ Apartheid
ระบบนี้ไม่ได้เป็นเพียงการเหยียดผิว แต่เป็นการจัดระบบชีวิตประจำวันให้แบ่งแยกทางการศึกษา การเดินทาง การครอบครองที่ดิน และโอกาสทางเศรษฐกิจอย่างถาวร
8. รัสเซีย: ความทรงจำจักรวรรดิและการรื้อฟื้นอำนาจผ่านความกลัว
จากการเป็นจักรวรรดิที่เคยถูกดูแคลนโดยยุโรปตะวันตก รัสเซียพยายามสร้างอัตลักษณ์ของตนผ่านการรวมรัฐโดยใช้วาทกรรมแห่งการปลดปล่อยทางชนชั้นและศีลธรรมแบบสังคมนิยม
ในยุคหลังโซเวียต รัฐรัสเซียภายใต้ปูตินหันกลับมาใช้อัตลักษณ์เชิงจักรวรรดิอีกครั้ง ผ่านการรุกรานยูเครน การสนับสนุนระบอบเผด็จการในรัฐเพื่อนบ้าน และการใช้สื่อเพื่อควบคุมการรับรู้ภายใน
9. กัมพูชา: การปฏิวัติโดยคนชายขอบที่กลายเป็นระบอบสังหาร
เขมรแดงภายใต้พอล พต เริ่มต้นจากความเกลียดชังต่อระบบชนชั้นที่เมืองใหญ่เป็นตัวแทน ความเท่าเทียมทางชนชั้นจึงกลายเป็นวาทกรรมในการทำลายคนมีการศึกษา ศิลปิน ข้าราชการ และแพทย์
ระบอบนี้เป็นตัวอย่างของการที่ผู้เคยถูกกดขี่กลายเป็นผู้ทำลายโครงสร้างสังคมด้วยการใช้ความรุนแรงอย่างสุดโต่ง
10. ซาอุดีอาระเบีย: การใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือกดขี่ภายในรัฐ
ซาอุดีอาระเบียในอดีตเคยเป็นรัฐชนเผ่าที่ไม่มีอิทธิพลในภูมิภาค แต่ภายหลังได้รับรายได้มหาศาลจากน้ำมัน รัฐจึงใช้อำนาจทางศาสนาเป็นเครื่องมือกำกับและควบคุมประชากรภายใน
ศาสนาอิสลามนิกายวะฮาบีถูกรัฐผนวกเข้าเป็นโครงสร้างหลักในการควบคุมผู้หญิง แรงงานต่างชาติ และชนกลุ่มน้อยทางศาสนา โดยใช้กฎหมายศาสนาอย่างเคร่งครัดและลงโทษอย่างรุนแรงต่อผู้ฝ่าฝืน
บทสรุป: เมื่อรัฐใช้ความเป็นเหยื่อสร้างความชอบธรรมใหม่แห่งการกดขี่
จากการวิเคราะห์ทั้ง 10 กรณี พบว่าประสบการณ์ของการเป็นเหยื่อในอดีต เมื่อไม่ได้รับการสะสางหรือวิพากษ์อย่างตรงไปตรงมา อาจกลายเป็นทุนทางการเมืองที่รัฐใช้เพื่อสร้างความชอบธรรมในการกดขี่กลุ่มอื่น
การเป็นเหยื่อไม่ได้ทำให้รัฐมีภูมิคุ้มกันต่อการใช้อำนาจในทางที่ผิด หากตรงกันข้าม อดีตที่ไม่ได้เยียวยาอย่างลึกซึ้ง มักจะสร้างรัฐที่ใช้ประวัติศาสตร์เพื่อหาความชอบธรรมในการลดทอนคุณค่าของมนุษย์กลุ่มอื่น
รัฐที่ก่อตั้งจากบาดแผล หากไม่สะสางประวัติศาสตร์ของตนเองอย่างวิพากษ์ ย่อมเสี่ยงที่จะกลายเป็นผู้สร้างบาดแผลต่อผู้อื่นต่อไป
และรัฐที่ปิดหูปิดตาตนเองจากประวัติศาสตร์แห่งความเจ็บปวด ย่อมมีแนวโน้มสูงที่จะผลิตซ้ำโศกนาฏกรรมเดิมในรูปแบบใหม่ที่รุนแรงและแยบยลยิ่งกว่าเดิม