วันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2568

“ไรเดอร์ไม่ใช่ลูกค้า?” — เมื่อการดูถูกแรงงานเริ่มจากความเข้าใจผิด

โพสต์หนึ่งในโลกออนไลน์เพิ่งกลายเป็นเวทีถกเถียงใหญ่ — เมื่อมีคนแสดงความเห็นว่า

“ไรเดอร์คือตัวแทนลูกค้า มีสิทธิ์นั่งรอเหมือนลูกค้าทั่วไป”

และมีอีกฝ่ายสวนกลับว่า

“Rider แค่คนส่งของ ถ้าถือว่าเป็นลูกค้า งั้นพนักงานขนส่งก็ต้องเป็นลูกค้าด้วยเหรอ?”

จากนั้นก็เกิดการโต้กันไปมาว่าจริง ๆ แล้ว “ไรเดอร์ควรถูกปฏิบัติแบบไหน?”
นี่ไม่ใช่เพียงการถกเรื่องที่นั่งในร้านอาหาร แต่มันคือภาพย่อของสังคมไทยที่ยังมอง “อาชีพ” เป็นตัววัดคุณค่า “ความเป็นคน” ของใครคนหนึ่งอยู่


1. รากของความเข้าใจผิด: ใครกันแน่คือลูกค้า

ในเชิงกฎหมายและธุรกิจ — ลูกค้าคือผู้ชำระเงินเพื่อรับสินค้า
แต่ในเชิง “การบริการ” ไรเดอร์คือ ตัวแทนของลูกค้า ที่ได้รับมอบหมายให้ทำธุระแทน
เขาจึงมีสิทธิ์เข้าถึงพื้นที่รับสินค้าได้ “ในขอบเขตที่จำเป็น”
ไม่ใช่เพราะเขาซื้อของเอง แต่เพราะเขาทำหน้าที่แทนคนที่ซื้อของจริง

ปัญหาคือ คนจำนวนไม่น้อยยังติดภาพว่า “ลูกค้าเท่านั้นที่ควรได้รับเกียรติ”
และเมื่อเห็นใครในชุดยูนิฟอร์มไรเดอร์ — พวกเขาก็เผลอมองต่ำลงทันที
ทั้งที่ในระบบเศรษฐกิจจริง ๆ ไรเดอร์คือฟันเฟืองที่ทำให้การบริการสมบูรณ์

ลูกค้าได้ของ ร้านได้ยอดขาย และแพลตฟอร์มได้ค่าธรรมเนียม
แต่แรงงานคนนั้นกลับเป็นฝ่ายที่มักถูกปฏิบัติแย่ที่สุด


2. เมื่อศักดิ์ศรีคนทำงานถูกลดทอน

หลายคนอาจเคยเห็นข่าวไรเดอร์ถูกไล่ไม่ให้นั่งในร้าน
หรือโดนพูดจาไม่ดีจากลูกค้าหรือพนักงานบางคน
ทั้งหมดสะท้อนปัญหา “ทัศนคติแบบชนชั้น” — ความเชื่อที่ฝังลึกว่า
อาชีพบริการคือคนชั้นล่าง ต้องอยู่ในมุม ไม่ควรเทียบเท่าลูกค้า

แต่นี่คือกับดักความคิดที่ทำลาย “ศักดิ์ศรีแรงงาน”
ทั้งที่พวกเขาคือคนที่ช่วยให้ระบบส่งอาหาร–ขนส่ง–บริการถึงปลายทางทุกวัน
โลกยุคใหม่ไม่ได้วัดคุณค่าคนที่อาชีพ แต่วัดจาก ความรับผิดชอบและความซื่อสัตย์ในงานของตน


3. ฝั่งที่โต้ว่า “Rider ไม่ใช่ลูกค้า” ก็ไม่ผิดเสียทีเดียว

ถ้ามองจากมุมเจ้าของพื้นที่หรือร้านอาหาร
ก็มีเหตุผลชัดเจนในแง่ “สิทธิ์ในทรัพย์สิน” และ “ความปลอดภัย”
การแยกพื้นที่ลูกค้ากับไรเดอร์เป็นเรื่องปกติในระบบจัดการพื้นที่
ไม่ใช่เพื่อกีดกัน แต่เพื่อให้การทำงานเป็นระเบียบและปลอดภัย
ทั้งสำหรับลูกค้าและพนักงานเอง

ดังนั้น คำตอบไม่ควรอยู่ที่ “ใครถูกใครผิด”
แต่ควรอยู่ที่ “เราจะจัดสมดุลของสิทธิ์และศักดิ์ศรี” ได้อย่างไรต่างหาก


4. ทางออกที่เหมาะสม: ให้เกียรติ + จัดระบบ

แนวทางที่ควรเป็น คือ การยอมรับว่าไรเดอร์คือ “ตัวแทนลูกค้าแบบสิทธิ์จำกัด”
ไม่ใช่ลูกค้าเต็มรูปแบบ แต่ก็ไม่ใช่คนอื่นที่ควรถูกกันออกจากพื้นที่

สิ่งที่ควรทำมี 3 ข้อใหญ่ ๆ

  1. จัดโซนรอรับสินค้าโดยเฉพาะ – ใกล้ประตู/เคาน์เตอร์/ทางเข้า เพื่อไม่รบกวนลูกค้า

  2. อำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐาน – น้ำดื่ม ห้องน้ำ (เมื่อจำเป็น) พื้นที่ร่มรอฝน

  3. ฝึกพนักงานให้พูดอย่างให้เกียรติ – คำพูดง่าย ๆ เช่น “ขอรอสักครู่นะครับพี่” สามารถเปลี่ยนบรรยากาศได้มหาศาล

เพราะ “ความสุภาพไม่ต้องลงทุน แต่ให้ผลตอบแทนมหาศาลในสายตาคนดู”


5. เมื่อเราหัวเราะคนอื่น เราอาจลืมว่าระบบเดียวกันกำลังรอเราข้างล่าง

วันนี้เราหัวเราะไรเดอร์ที่ร้อน เหนื่อย หรือพูดจาไม่เรียบร้อย
แต่วันหนึ่งถ้าเศรษฐกิจพลิก หรือเราต้องทำงานส่งของเอง
เราจะเข้าใจทันทีว่าศักดิ์ศรีมันเจ็บตรงไหนเวลาถูกมองข้าม

สังคมจะน่าอยู่ได้ ไม่ใช่เพราะใครรวยกว่าใคร แต่เพราะเราให้เกียรติกันแม้ต่างอาชีพ


บทสรุป

  • ฝั่งที่บอกว่า “ไรเดอร์ไม่ใช่ลูกค้าเต็มรูปแบบ” — ถูกในเชิงสิทธิ์

  • ฝั่งที่บอกว่า “ไรเดอร์ควรได้รับเกียรติเท่าลูกค้า” — ถูกในเชิงมนุษยธรรม

  • ทางออก คือ “จัดระบบสิทธิ์ให้ชัด แต่จัดหัวใจให้ใหญ่”

เพราะในที่สุด ร้านที่ให้เกียรติคนทำงานทุกระดับ
มักจะขายดีขึ้น โดยไม่ต้องโฆษณาเลยแม้แต่นิดเดียว


อยากให้ชื่อบทความนี้คือ
“ไรเดอร์ไม่ใช่ลูกค้า — แต่เขาก็คือคนที่ทำให้ลูกค้าได้รับของ”
มันเรียบง่ายแต่ตรงที่สุดกับสิ่งที่สังคมไทยต้องคิดใหม่.

วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2568

วิเคราะห์สถานการณ์สัตว์ใกล้สูญพันธุ์ สู่ความจริงอันน่าเศร้าของโลกในปี 2025



 https://x.com/RPalaeo/status/1511593337995681792/photo/1

ภาพประกอบของ Sangyoon Lee (Raho) ที่แสดงให้นกอ็อคใหญ่ (Great Auk - Pinguinus impennis) ยืนมองโลมาวากีต้า (Vaquita - Phocoena sinus) ว่ายอยู่หลังตู้กระจก เปรียบเสมือนการพบกันของอดีตกับอนาคต — สัตว์ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว กับสัตว์ที่กำลังจะสูญพันธุ์ในไม่ช้า ภาพนี้ไม่ใช่แค่สะท้อนความเศร้า แต่มันคือคำเตือนที่ลึกซึ้งถึง “วงจรของการทำลาย” ที่มนุษย์สร้างขึ้นและกำลังผลักให้สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ต้องจบลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มันคือภาพจำลองของโลกในอนาคต ที่พิพิธภัณฑ์อาจกลายเป็นสถานที่เดียวที่เราจะได้เห็นร่องรอยของชีวิตที่เคยมีอยู่จริงบนโลกนี้


1. ภาพรวมปี 2025: จำนวนชนิดใกล้สูญพันธุ์เพิ่มขึ้นต่อเนื่องและรวดเร็วกว่าที่คาด

ข้อมูลล่าสุดจาก International Union for Conservation of Nature (IUCN) ในปี 2025 เผยว่าจำนวนสัตว์และพืชที่อยู่ในสถานะ “ใกล้สูญพันธุ์ขั้นวิกฤติ (Critically Endangered)” เพิ่มจาก 9,760 ชนิด เป็น 10,443 ชนิด ภายในเวลาเพียง 3 ปี ตัวเลขนี้ไม่ได้เป็นเพียงสถิติทางวิทยาศาสตร์ แต่คือเสียงร้องของสิ่งมีชีวิตนับพันที่กำลังจะหายไปจากโลกอย่างเงียบงัน การเพิ่มขึ้นกว่า 700 ชนิดในระยะเวลาอันสั้นสะท้อนถึงความเร่งด่วนที่ไม่อาจมองข้ามได้ — โลกกำลังเผชิญการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ยุคไดโนเสาร์

สัตว์ ชื่อวิทยาศาสตร์ ประชากรในโพสต์ก่อนหน้า ประชากรปี 2025 (ล่าสุด) แนวโน้ม
โลมาวากีต้า Phocoena sinus <10 8–10 ตัว แย่ลง — สัญญาณ GPS พบเพียง 41 ครั้งในปี 2025 ไม่มีหลักฐานการเพิ่มจำนวน สัตว์ชนิดนี้อาจสูญพันธุ์ภายในไม่กี่ปีข้างหน้า
เป็ดโปชาร์ดมาดากัสการ์ Aythya innotata 80 ~100–200 ตัว ดีขึ้น — พบประชากรใหม่ในทะเลสาบ Alaotra แต่ยังถูกคุกคามจากปลาต่างถิ่นและการเปลี่ยนแปลงสภาพน้ำ
คามีเลี่ยนทาร์ซาน Calumma tarzan <100 <100 คงที่แต่เปราะบาง — พบประชากรย่อยใหม่ในมาดากัสการ์ แต่พื้นที่ป่ากำลังลดลงจากการถางเพื่อทำเกษตรและเผาถ่าน
ค้างคาวหางฝักซีเชลล์ Coleura seychellensis <100 30–100 คงที่ — ยังถูกคุกคามจากหนูและแมวที่รุกรานถ้ำซึ่งเป็นถิ่นอาศัย และแหล่งอาหารที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
กระซู่ (แรดสุมาตรา) Dicerorhinus sumatrensis <50 34–47 คงที่แต่ใกล้ดับ — ไม่มีการเพิ่มใน 3 ปีหลังสุดจากทั้งเกาะสุมาตราและบอร์เนียว และถูกล่าเพื่อเอานอแม้จะมีกฎหมายคุ้มครอง
ชะนีไหหลำ Nomascus hainanus 20 42 ดีขึ้น — เพิ่มเกือบเท่าตัวจากโครงการปลูกป่าในจีนและการจำกัดพื้นที่ล่าสัตว์ แต่ยังคงเสี่ยงจากการกระจายพันธุ์จำกัด
ตะพาบยักษ์แยงซีเกียง Rafetus swinhoei 3 2 แย่ลง — ตัวเมียตัวสุดท้ายตายปี 2023 เหลือเพียงสองตัวบนโลก ไม่มีทางสืบพันธุ์ตามธรรมชาติได้แล้ว

สถิติเหล่านี้อาจดูเหมือนเพียงตัวเลขในรายงาน แต่เบื้องหลังแต่ละตัวเลขคือชีวิต เป็นเรื่องราว เป็นสายใยของระบบนิเวศที่กำลังถูกตัดขาดอย่างช้า ๆ จนในที่สุดโลกอาจเหลือเพียงความทรงจำของสิ่งมีชีวิตที่เคยอยู่ร่วมกับเรา


2. สาเหตุหลักของการลดจำนวน: ผลพวงของมนุษย์ที่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง

  • การทำลายถิ่นที่อยู่ (Habitat Loss): คือสาเหตุใหญ่ที่สุด คิดเป็นกว่า 80% ของปัญหาทั้งหมด ป่าฝนในอินโดนีเซียและมาดากัสการ์ถูกถางเพื่อปลูกปาล์มน้ำมัน สร้างเมือง หรือทำเหมือง ส่งผลให้สัตว์จำนวนมากสูญเสียที่อยู่และอาหาร

  • การล่าสัตว์ผิดกฎหมาย (Poaching): โลมาวากีต้าติดอวนจับปลา totoaba ที่มีราคาสูงในตลาดมืดจีน แรดถูกล่าเพื่อนอ และชะนีถูกจับขายเป็นสัตว์เลี้ยงแปลกใหม่ สะท้อนความโลภของมนุษย์ที่มองชีวิตเป็นสินค้า

  • มลพิษและสิ่งมีชีวิตรุกราน: ค้างคาวซีเชลล์ถูกหนูและแมวที่มนุษย์นำเข้าไปในเกาะล่าอย่างหนัก ขณะที่เป็ดมาดากัสการ์ถูกปลาต่างถิ่นกินไข่จนแทบไม่เหลือรุ่นใหม่

  • การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: ทำให้ทะเลสาบแห้ง ป่าลดลง และสภาพแวดล้อมแปรปรวนจนสัตว์ปรับตัวไม่ทัน พายุรุนแรงและไฟป่าทำลายถิ่นอาศัยที่ใช้เวลาหลายร้อยปีในการฟื้นตัว

ผลลัพธ์คือสัตว์เหล่านี้มีประชากร “กระจัดกระจาย” อยู่ในพื้นที่เล็ก ๆ การผสมพันธุ์จึงยากขึ้น เกิดภาวะเลือดชิด (inbreeding) และอัตราการรอดของลูกสัตว์ลดลงตามลำดับ


3. ความพยายามอนุรักษ์: แสงแห่งความหวังที่ยังริบหรี่

นอกจากโครงการในเอเชียแล้ว ยังมีกรณีศึกษาความสำเร็จจากประเทศอื่น ๆ ที่เป็นแรงบันดาลใจ เช่น การฟื้นฟูประชากรแรดขาวในแอฟริกาใต้ ซึ่งเคยเหลือเพียงไม่กี่ร้อยตัวในช่วงทศวรรษ 1960 แต่ด้วยการคุ้มครองอย่างเข้มงวดและการสร้างเขตอนุรักษ์ขนาดใหญ่ ทำให้จำนวนเพิ่มขึ้นจนมีมากกว่า 18,000 ตัวในปัจจุบัน แสดงให้เห็นว่าหากมีความตั้งใจและมาตรการจริงจัง การฟื้นคืนชีวิตให้สัตว์ใกล้สูญพันธุ์ก็เป็นไปได้: แสงแห่งความหวังที่ยังริบหรี่
แม้ภาพรวมจะดูสิ้นหวัง แต่ก็ยังมีหลายความพยายามที่ควรกล่าวถึง:

  • Sea Shepherd และ IUCN ใช้โดรนและ GPS เพื่อติดตามโลมาวากีต้า และเฝ้าระวังอวนผิดกฎหมายในอ่าวแคลิฟอร์เนีย การทำงานร่วมกับรัฐบาลเม็กซิโกมีความก้าวหน้า แต่ยังมีช่องโหว่ทางกฎหมายและแรงต่อต้านจากชาวประมงท้องถิ่น

  • Sumatran Rhino Sanctuary (SRS) ดำเนินโครงการเพาะพันธุ์ในกรงเลี้ยงและปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ โดยมีความสำเร็จในการผสมพันธุ์บางส่วน แต่ประชากรโดยรวมยังต่ำเกินกว่าจะยั่งยืนได้เองในธรรมชาติ

  • โครงการอนุรักษ์ในจีน เพื่อชะนีไหหลำ ประสบความสำเร็จในการเพิ่มจำนวนจาก 20 เป็น 42 ตัว ผ่านการปลูกป่า สร้างสะพานต้นไม้ และติดตามด้วยเสียงร้องเพื่อระบุพื้นที่อาศัยใหม่

  • Durrell Wildlife Conservation Trust ของสหราชอาณาจักร เพาะพันธุ์เป็ดมาดากัสการ์ได้สำเร็จ และเริ่มปล่อยคืนสู่ทะเลสาบในธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม ปัญหาหลักคือ “เวลาและเงิน” IUCN ประเมินว่าจำเป็นต้องใช้งบกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ต่อปีในการปกป้องสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ แต่ในความเป็นจริง เงินทุนที่ได้รับไม่ถึง 20% ของที่ต้องการ ซึ่งทำให้โครงการหลายแห่งต้องหยุดชะงักกลางทาง


4. ผลกระทบต่อโลกและมนุษย์:

นอกจากผลทางนิเวศและวัฒนธรรมแล้ว การสูญพันธุ์ของสัตว์ยังส่งผลทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ การศึกษาของ WWF และธนาคารโลกประมาณว่าความเสียหายจากการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตและการเสื่อมโทรมของระบบนิเวศทั่วโลกอาจมีมูลค่ามากกว่า 500,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งรวมถึงความสูญเสียด้านการเกษตร การประมง และบริการทางธรรมชาติ เช่น การผสมเกสรและการกรองน้ำตามธรรมชาติ การหายไปของสิ่งมีชีวิตหนึ่งชนิดจึงไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่กระทบต่อราคาสินค้า อาหาร และเศรษฐกิจโดยตรงของมนุษย์ เมื่อห่วงโซ่ชีวิตเริ่มขาดหาย

  • ผลกระทบเชิงนิเวศ: โลมาวากีต้ามีบทบาทในการควบคุมประชากรปลาในอ่าวแคลิฟอร์เนีย หากมันสูญพันธุ์ ระบบนิเวศทางทะเลจะเสียสมดุลและกระทบต่อการประมง ขณะที่แรดสุมาตราเป็นผู้กระจายเมล็ดพันธุ์ในป่าฝน การหายไปของมันทำให้ป่าเสื่อมโทรมลงอย่างช้า ๆ

  • ผลกระทบทางเศรษฐกิจ: หลายประเทศพึ่งพาการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ (Ecotourism) เพื่อสร้างรายได้ เช่น ซีเชลส์และมาดากัสการ์ แต่เมื่อสัตว์หายไป รายได้จากการท่องเที่ยวก็หายตาม

  • ผลกระทบทางวัฒนธรรมและจิตวิญญาณ: สัตว์บางชนิดเป็นสัญลักษณ์ของชาติ เช่น ชะนีไหหลำในจีน หรือแรดสุมาตราในอินโดนีเซีย การสูญพันธุ์ของพวกมันเปรียบเสมือนการลบส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของมนุษย์เอง

เมื่อสิ่งมีชีวิตหายไป โลกจะไม่เพียงเงียบขึ้น แต่ยังสูญเสียสมดุลที่ค้ำจุนมนุษย์มาหลายพันปี การสูญพันธุ์หนึ่งครั้งอาจกระตุ้นห่วงโซ่การล่มสลายของระบบนิเวศในหลายระดับ


5. บทเรียนสำหรับมนุษย์: หยุดทำลายก่อนที่โลกจะเงียบเกินไป

การสูญพันธุ์ของสัตว์เหล่านี้ไม่ใช่แค่การหายไปของสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง แต่มันคือการพังทลายของ “เครือข่ายชีวิต” ที่เชื่อมโยงทุกสรรพสิ่งเข้าด้วยกัน มนุษย์ไม่ได้อยู่เหนือธรรมชาติ แต่เป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของระบบอันละเอียดอ่อนนี้ ทุกครั้งที่เราตัดไม้ ล่าสัตว์ หรือปล่อยสารพิษ เรากำลังทำลายรากฐานของตัวเองไปพร้อมกัน

“ธรรมชาติไม่ได้ต้องการให้เราช่วยเพื่อมันอยู่รอด แต่มันต้องการเพียงให้เราหยุดทำลาย เพื่อให้มันอยู่รอดได้ด้วยตัวของมันเอง.”

โลกอาจยังมีเวลา แต่ไม่มากพอสำหรับการนิ่งเฉย สิ่งที่ต้องทำคือหยุดคิดว่าปัญหานี้เป็นเรื่องของนักอนุรักษ์เพียงกลุ่มเดียว และเริ่มลงมือในฐานะมนุษย์คนหนึ่งที่มีส่วนร่วมกับโลกใบเดียวกัน


อ้างอิง:

  • The Zoological Society of London (ZSL) – The 100 Most Threatened Species

  • Sea Shepherd Conservation Society – Saving the Vaquita

  • IUCN Red List (2023–2025 Updates)

  • Fiona Harvey, The Guardian, 10 September 2012

  • Durrell Wildlife Conservation Trust Reports

  • WWF & Global Wildlife Conservation Data

  • ข้อมูลสรุปจาก Grok AI (2025) และฐานข้อมูล IUCN อัพเดทล่าสุด

โกงแล้วไม่ติดคุก? ช่องโหว่ของกฎหมายไทยที่เปิดทางให้คนโกง "รอดแบบถูกต้อง"

ในสังคมไทย เราเห็นข่าวคดีฉ้อโกงครั้งใหญ่บ่อยมาก — ตั้งแต่หลอกขายทอง หลอกลงทุน ไปจนถึงแชร์ลูกโซ่และการตลาดแบบตรงที่ไม่มีใบอนุญาต เหยื่อจำนวนมากสูญเงินไปทีละเล็กทีละน้อย บางรายหมดเงินเก็บชีวิต แต่สุดท้ายจำเลยกลับ "รอลงอาญา" ไม่ต้องติดคุกจริง ทั้งที่โทษรวมอาจสูงถึงยี่สิบปีหรือมากกว่า แล้วเหตุใดระบบกฎหมายไทยจึงเปิดช่องให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง และประชาชนจำนวนมากรู้สึกว่า “มันไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย”

บทความนี้จะพาไล่เรียงอย่างเป็นลำดับ ตั้งแต่โครงสร้างของกฎหมายที่ใช้พิจารณาคดีฉ้อโกง ช่องโหว่ของระบบที่เปิดทางให้คนโกงพ้นเรือนจำได้โดยถูกต้อง ไปจนถึงแนวทางของต่างประเทศที่ใช้จำกัดการหลอกลวงเชิงระบบ เพื่อให้เห็นชัดว่าหากจะปฏิรูป เราต้องเริ่มตรงไหนบ้าง


1. ทำไมคดีฉ้อโกงใหญ่ ๆ ยังรอลงอาญาได้

ระบบกฎหมายไทยพิจารณาโทษตามหลัก “รายกระทง” หมายความว่า ถ้ามีผู้เสียหาย 100 คน ก็จะถูกนับเป็น 100 กระทงแยกกันไป ไม่ได้มองเป็นคดีเดียวที่มีผลรวมมหาศาล แต่ละกระทงมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หากศาลเห็นว่าจำเลยสำนึกผิด คืนเงิน และไม่น่าจะกระทำผิดอีก ก็สามารถสั่ง "รอการลงโทษจำคุก" ได้ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56

ดังนั้น แม้รวมกันแล้วจะมีโทษเท่ากับ 20 ปีหรือมากกว่า แต่เพราะแต่ละกระทงโทษไม่เกิน 3 ปี ศาลจึงมีอำนาจรอการลงโทษได้ทุกกระทง ผลคือรวมกันแล้วกลายเป็น “รอลงอาญา 5 ปี” ทั้งที่โทษรวมถือว่าสูงมากในเชิงตัวเลข

ปัจจัยที่ศาลมักใช้พิจารณาเพื่อบรรเทาโทษ ได้แก่:

  • จำเลยให้การรับสารภาพในทุกข้อหา

  • มีการคืนเงินหรือเยียวยาผู้เสียหายเกือบครบถ้วน

  • ไม่เคยมีประวัติอาชญากรรมมาก่อน

  • ถูกคุมขังระหว่างสอบสวนมาแล้วระยะหนึ่ง

ในเชิงกฎหมาย ศาลมองว่าจำเลยสำนึกผิดและพยายามบรรเทาความเสียหาย แต่ในสายตาประชาชน มันกลับกลายเป็นภาพของ “คนรวยคืนเงินได้ ก็รอด ส่วนคนจนทำไม่ได้ ก็ต้องติดคุกจริง”


2. ทำไมสังคมถึงมองว่ามันไม่แฟร์

เพราะในความเป็นจริง “จำนวนเหยื่อ” และ “มูลค่าความเสียหายรวม” มันสะท้อนถึงเจตนาที่ร้ายแรง แต่กฎหมายกลับนับแยกเป็นหลายกระทงเล็ก ๆ จึงยังสามารถรอการลงโทษได้แม้จะมีผลกระทบกว้างขวางมาก

ลองเปรียบเทียบให้เห็นชัด:

โกงคน 1,000 คน คนละ 500 บาท = รวม 500,000 บาท → ศาลอาจให้รอลงอาญาได้

โกงคนเดียว 500,000 บาท → มีโอกาสติดคุกจริง เพราะเป็นความเสียหายต่อรายสูง

ระบบกลับหัวกลับหาง เพราะกฎหมายไทยยังวัดความร้ายแรงจาก “ต่อคน” ไม่ใช่ “ต่อสังคม” จึงทำให้คนที่โกงบ่อย ๆ ทีละน้อย กลับปลอดภัยกว่าคนที่โกงหนักเพียงครั้งเดียว


3. ความต่างระหว่าง “กฎหมาย” กับ “ความยุติธรรม”

ศาลมักยึดหลักว่า “การให้โอกาสกลับตัว” เป็นหัวใจสำคัญของกระบวนการยุติธรรม แต่ประชาชนจำนวนมากกลับมองว่า “ความยุติธรรม” คือ “ความเท่าเทียมของผลลัพธ์” ไม่ใช่แค่ขั้นตอนที่ถูกต้องทางกฎหมาย

กฎหมายมองว่า: ลงโทษตามกรอบ และเปิดโอกาสให้ผู้ผิดกลับตัวได้

สังคมมองว่า: ผู้กระทำต้องชดใช้ และรับโทษตามขนาดของผลที่สร้างไว้

เมื่อศาลให้รอลงอาญาในคดีที่สร้างผลกระทบวงกว้างต่อผู้คนนับพัน มันจึงกลายเป็นสัญญาณที่อันตรายว่า “โกงได้ แค่รู้จักคืน” และยิ่งตอกย้ำภาพลักษณ์ว่า ความยุติธรรมไทยเป็นของคนที่มีทางออกมากกว่าคนที่จนหรือไม่มีเสียงในสังคม


4. แล้วต่างประเทศเขาทำอย่างไรให้ไม่หลุดง่าย

ในประเทศที่ระบบยุติธรรมเข้มแข็ง เช่น สิงคโปร์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ หรือบางประเทศในยุโรป — เขาแยกประเภทของคดีฉ้อโกงออกจากกันอย่างชัดเจน และเพิ่มโทษสำหรับ “การหลอกลวงที่มีลักษณะเป็นระบบ”

  1. ถ้ามีลักษณะเป็นระบบ หรือมีเหยื่อจำนวนมาก จะถูกจัดเป็นคดี organized fraud หรือ systematic deception โทษจะสูงขึ้นหลายเท่า

  2. ไม่สามารถรอลงอาญาได้ แม้แต่ละรายเสียหายไม่มาก แต่เมื่อผลรวมกระทบต่อสังคมสูง ศาลจะถือว่าเป็นภัยสาธารณะ

  3. นับเป็นคดีเดียว ไม่แยกกระทงย่อย เพราะถือว่าเป็นการกระทำเดียวต่อสาธารณะ

  4. มีโทษเสริม เช่น ยึดทรัพย์ ห้ามประกอบธุรกิจ หรือเปิดเผยชื่อในฐานข้อมูลสาธารณะ เพื่อป้องกันการกลับมาทำซ้ำ

ตัวอย่างจริง:

  • สิงคโปร์ มี Guidelines for Scams‑Related Offences ที่ห้ามศาลลดโทษในกรณีที่จำเลยมีบทบาทหลักหรือเหยื่อจำนวนมาก

  • ญี่ปุ่น มีทะเบียน “ผู้กระทำผิดฉ้อโกง” (Fraud Offenders Registry) ที่เปิดเผยต่อสาธารณะให้ตรวจสอบได้

  • อังกฤษ มีระบบ Class Action ให้ผู้เสียหายรวมตัวฟ้องร่วม ทำให้คดีเล็ก ๆ รวมกันเป็นคดีใหญ่โดยอัตโนมัติ ศาลจะเห็นภาพรวมของความเสียหายชัดเจน

ในประเทศเหล่านี้ “ความเสียหายรวม” ถูกใช้เป็นเกณฑ์ชี้ขาด ไม่ใช่จำนวนกระทงเล็ก ๆ อย่างในไทย


5. โมเดลที่ไทยควรปรับ เพื่อปิดช่อง “โกงคืนแล้วรอด”

1. เพิ่มหมวด “ฉ้อโกงมวลชน”
กำหนดให้เป็นความผิดระดับสาธารณะ มีโทษสูงกว่าฉ้อโกงประชาชน และไม่สามารถรอลงอาญาได้ โดยศาลต้องพิจารณาผลกระทบต่อระบบสังคมและเศรษฐกิจ ไม่ใช่แค่ต่อราย

2. แก้เกณฑ์รอลงอาญา
กำหนดข้อจำกัดเพิ่มเติม เช่น ห้ามรอในคดีที่มีเหยื่อเกิน 50 ราย หรือความเสียหายรวมเกิน 5 ล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องกับหลักความเสียหายรวม ไม่ใช่ต่อราย

3. เพิ่มโทษเสริม

  • ยึดทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำผิดทั้งหมด

  • ห้ามประกอบธุรกิจหรือดำรงตำแหน่งผู้บริหารในระยะเวลาหนึ่ง

  • เปิดเผยชื่อจำเลยในทะเบียนสาธารณะเพื่อให้ประชาชนตรวจสอบได้

  • บังคับให้เข้ารับการอบรมฟื้นฟูจิตสำนึก และทำงานบริการสังคมในลักษณะที่เกี่ยวกับผู้เสียหาย

4. เปิดทางให้ฟ้องแบบกลุ่ม (Class Action)
ให้ผู้เสียหายรายเล็ก ๆ รวมตัวกันฟ้องในคดีเดียวกัน ศาลจะเห็นภาพรวมของความเสียหาย และเพิ่มแรงกดดันทางสังคมต่อผู้กระทำผิด


6. บทสรุป: ถึงเวลาปรับความคิดเรื่อง “ความยุติธรรม” ใหม่ทั้งระบบ

กฎหมายไทยในปัจจุบันยังมอง “คดีฉ้อโกง” เป็นเรื่องของบุคคลต่อบุคคล ไม่ใช่เรื่องของส่วนรวม ทั้งที่ในความเป็นจริง คดีแบบนี้คือการทำลายความเชื่อมั่นของสังคมต่อระบบเศรษฐกิจ ความซื่อสัตย์ และศีลธรรมของประเทศโดยตรง

การคืนเงินไม่ใช่การลบความผิด แต่เป็นเพียงการเยียวยาผลลัพธ์ของมัน

การสำนึกผิดไม่ควรแลกได้ด้วยอิสรภาพ แต่ควรแสดงออกผ่านการรับโทษและการชดใช้ต่อสังคมอย่างแท้จริง

หากประเทศไทยต้องการสร้างสังคมที่โปร่งใสและเชื่อถือได้จริง กฎหมายต้องไม่ใช่แค่เครื่องมือของผู้มีฐานะในการหาทางรอด แต่ต้องเป็นเกราะปกป้องคนตัวเล็กที่ถูกหลอกซ้ำแล้วซ้ำอีกโดยไม่มีที่พึ่ง ถึงเวลาแล้วที่เราควรผลักดันให้ “โกงได้แค่รู้จักคืน” กลายเป็นเรื่องที่สังคมไม่ยอมรับอีกต่อไป — และให้กฎหมายไทยกลายเป็นเครื่องมือคืนศักดิ์ศรีให้ความยุติธรรมอย่างแท้จริง.

วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2568

ปาปัว: ดินแดนที่ถูกยึดครอง ทรัพยากรที่ถูกขูดรีด และความขัดแย้งที่ไม่มีวันจบ?

หลายคนอาจไม่เคยได้ยินชื่อ “ปาปัวตะวันตก” หรือถ้าเคยได้ยินก็คงเป็นข่าวรุนแรงผ่าน ๆ แต่ความจริงมันเป็นเรื่องที่ยาวและซับซ้อนกว่านั้นมาก ทั้งอดีตที่เต็มไปด้วยการยึดครอง การขูดรีดทรัพยากรโดยมหาอำนาจ และการสู้รบที่ยังไม่จบจนถึงทุกวันนี้ บางคนเห็นชาวปาปัวเป็น “นักรบเพื่อเอกราช” ที่ต่อสู้เพื่อสิทธิของตนเอง แต่บางคนกลับมองว่าเป็น “กบฏโหดเหี้ยมที่ฆ่าพลเรือน” บล็อกนี้จะเล่าครบทุกด้าน ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน พร้อมยกเหตุการณ์รุนแรงเป็นตัวอย่างจริง ๆ เพื่อให้คุณลองชั่งใจดูเอง ว่าสุดท้ายคุณจะรู้สึกเกลียด เห็นใจ หรือมองว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็ผิดเหมือนกัน


ตอนที่ 1: อดีต – ใครคือชาวปาปัว?

เกาะนิวกินีคือเกาะใหญ่เป็นอันดับสองของโลก (785,753 ตารางกิโลเมตร) ใหญ่กว่ารัฐเทกซัส และเล็กกว่าออสเตรเลียเพียงนิดเดียว ด้านตะวันออกเป็นประเทศปาปัวนิวกินี ส่วนด้านตะวันตกคือ “ปาปัว” ของอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นบ้านของชาวปาปัวดั้งเดิมที่แตกต่างจากคนอินโดนีเซียส่วนใหญ่

  • ต้นกำเนิด: ชาวปาปัวเป็นเชื้อสายเมลานีเซียน (Melanesian) อพยพจากแอฟริกามาอยู่แถวนี้เมื่อ 50,000–60,000 ปีก่อน มานานกว่าชาวชวาหรือมลายูที่เพิ่งมาทีหลังหลายหมื่นปี ลักษณะเด่นคือผิวเข้ม ผมหยิก จมูกกว้าง และ DNA ยังมีร่องรอยของเดเนโซวานอยู่ด้วย

  • ภาษาและศาสนา: พูดกันกว่า 800 ภาษาเล็ก ๆ เยอะที่สุดในโลกเมื่อเทียบกับพื้นที่ มีความหลากหลายสูง และส่วนใหญ่หันมานับถือศาสนาคริสต์ผสมความเชื่อบรรพบุรุษ แตกต่างชัดจากชาวอินโดที่เป็นมุสลิมส่วนใหญ่

  • การถูกยึดครอง: ช่วงเป็นอาณานิคมของดัตช์ เคยเตรียมมอบเอกราชให้ในปี 1961 มีทั้งธงชาติ “Morning Star” และเพลงชาติเรียบร้อยแล้ว แต่ปี 1963 อินโดนีเซียบุกเข้ายึด โดยอ้างว่าเป็น “มรดกอาณานิคม” จนปี 1969 มีการจัด “ประชามติ Act of Free Choice” ที่ให้หัวหน้าเผ่าเพียง 1,026 คนโหวตแทนคนทั้งเกาะกว่า 800,000 คน ภายใต้แรงกดดันจากกองทัพอินโดนีเซีย ผลคือรวมเข้าอินโด แต่โลกวิจารณ์ว่าการลงคะแนนไม่เสรีเลย


ตอนที่ 2: ความรุนแรงที่กลายเป็นเรื่องปกติ

นับตั้งแต่ถูกผนวกเข้าอินโดนีเซีย ความรุนแรงไม่เคยหายไป ทั้งจากกองทัพที่เข้าปราบปรามและจากกบฏที่ตอบโต้ ผลคือพลเรือนคือผู้รับเคราะห์

เหตุการณ์สำคัญ:

  • 1969 – Act of Free Choice: การโหวตที่ถูกมองว่าเป็นการบังคับ

  • 1998 – Biak Massacre: ประชาชนรวมตัวชูธง Morning Star ถูกทหารยิง มีผู้เสียชีวิตนับร้อย ศพบางส่วนถูกโยนลงทะเล

  • 2014 – Paniai shootings: ทหารยิงใส่กลุ่มวัยรุ่นที่ออกมาประท้วงการทำร้ายพลเรือน เสียชีวิต 5 คน บาดเจ็บหลายสิบ

  • 2018 – Nduga massacre: กบฏ TPNPB บุกสังหารคนงานชวาของบริษัท Istaka Karya จำนวน 25 คน หลังถูกกล่าวหาว่าเป็นสายลับ

  • 2021 – Intan Jaya conflict: การปะทะหนัก ทำให้ชาวบ้านหลายพันหนีเข้าป่า กลายเป็นผู้พลัดถิ่น

  • 2022 – คดีฆ่าและชำแหละศพ: ทหารอินโดถูกจับหลังฆ่าและหั่นศพชาวพื้นเมือง 4 คนเพื่อปกปิดคดี

  • 2023 – Wamena riot: ข่าวลือเรื่องการลักพาตัวเด็ก จุดชนวนจลาจล มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก

  • 2025 – Yahukimo massacre: กบฏสังหารคนงานเหมืองทอง 15 คน โดยอ้างว่าเป็น “คนนอก”

ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า ความรุนแรงฝังรากลึกในชีวิตประจำวันของชาวปาปัว


ตอนที่ 3: จะให้แยกประเทศดีไหม?

ทำไมควรแยก:

  • ประชามติ 1969 ไม่แฟร์

  • ชาติพันธุ์ วัฒนธรรม ศาสนาแตกต่างชัดเจนจากชาวอินโด

  • ถูกรีดไถทรัพยากร เช่น เหมืองทอง-ทองแดง Grasberg ที่สร้างรายได้มหาศาล แต่ชาวบ้านกลับยากจน

  • สิทธิมนุษยชนถูกละเมิดมาตลอด

  • มีตัวอย่างติมอร์ตะวันออกที่เคยแยกสำเร็จในปี 2002

ทำไมไม่ควรแยก:

  • อินโดนีเซียยึดหลักบูรณภาพดินแดน

  • เสี่ยงให้ดินแดนอื่น ๆ ในอินโดอยากแยกตาม

  • รัฐบาลลงทุนโครงการพัฒนา เช่น ถนน Trans-Papua และสนามบิน

  • ประชากรผสม คนชวาอพยพเข้ามามากจนกลายเป็นสัดส่วนใหญ่

  • กบฏเองก็ฆ่าพลเรือน ทำให้เสียความชอบธรรม

ถ้าแยกแล้วจะอยู่รอดไหม?

ปาปัวมีประชากรราว 5.4 ล้านบนพื้นที่กว้างใหญ่ แต่ขาดโครงสร้างรัฐและบุคลากรด้านการเมือง เศรษฐกิจพึ่งพาการลงทุนต่างชาติ ถ้าแยกแบบทันทีเสี่ยงล้มเหลวแบบซูดานใต้ แต่ถ้ามี UN ช่วยดูแลการเปลี่ยนผ่าน 5–10 ปี อาจรอดได้แบบติมอร์ตะวันออก


ตอนที่ 4: ใครได้ประโยชน์จากปาปัว?

นี่คือประเด็นที่ทำให้ทุกอย่างซับซ้อน: ทรัพยากรของปาปัว

  • Freeport-McMoRan (สหรัฐฯ): เหมือง Grasberg ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ผลิตทองและทองแดงมหาศาล

  • Rio Tinto (ออสเตรเลีย): เคยถือหุ้นในโครงการเหมือง ก่อนขายต่อให้อินโดนีเซีย

  • จีน: เข้ามาลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เหมืองไม้ และแร่

  • ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้: สนใจด้านพลังงาน ท่าเรือ และก๊าซ

ทุกประเทศและบริษัทใหญ่เข้ามาหาผลประโยชน์จากทรัพยากร แต่ชาวปาปัวเองกลับได้เพียงเศษเสี้ยว


ตอนที่ 5: กบฏ – นักสู้เพื่อเสรีภาพ หรือโจร?

TPNPB มีนักรบแค่ประมาณ 1,000–3,000 คน มีเพียงปืนเบา ธนู และระเบิดแสวงเครื่อง ใช้กลยุทธ์กองโจร คุมป่าได้บ้าง แต่ไม่สามารถควบคุมเมืองใหญ่ สนามบิน หรือท่าเรือ ผลงานหลักคือโจมตีไซต์งาน เหมือง และทหาร ทำให้บริษัทเหมืองหรือโครงการก่อสร้างต้องหยุดชะงัก แต่ไม่สามารถ “ปิดเกาะ” ได้จริง เพราะรัฐควบคุมโครงสร้างพื้นฐานหลัก

เทียบกับ “โจรใต้” บ้านเรา

  • คล้ายกัน: เป็นกลุ่มเล็ก กระจายตัว ใช้กองโจร

  • ต่างกัน: ปาปัวเคยมีธงชาติและการประกาศเอกราช ได้รับการหนุนหลังทางการเมืองจากประเทศแปซิฟิก เช่น วานูอาตู ฟิจิ และมีอัตลักษณ์ชาติพันธุ์-ศาสนาที่ต่างจากชาวอินโดอย่างสิ้นเชิง

ท้ายที่สุด กบฏก็เสี่ยงจะถูกใช้เป็น “หมาก” ของกลุ่มผลประโยชน์ภายนอก รับอาวุธ รับเงิน แต่ต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงแทน


สรุป: ไม่มีใครชนะจริง ๆ

เรื่องของปาปัวไม่ใช่แค่การต่อสู้ของกบฏกับรัฐ แต่มันคือการปะทะของประวัติศาสตร์ อัตลักษณ์ และผลประโยชน์มหาศาล รัฐอินโดนีเซียอาจถูกมองว่ากดขี่ แต่ก็ลงทุนพัฒนา กบฏอาจถูกมองว่าสู้เพื่อเอกราช แต่ก็มีประวัติฆ่าพลเรือนจริง ๆ ทางออกที่ดีที่สุดอาจเป็นการทำประชามติใหม่ภายใต้การกำกับของ UN แต่โอกาสเกิดแทบไม่มี เพราะทรัพยากรที่มีค่ามหาศาลคือเดิมพันที่ไม่มีใครอยากปล่อยมือ

แล้วคุณล่ะ…จะเลือกข้างไหน? จะเกลียดรัฐอินโดฯ ที่ไม่ยอมปล่อย? จะเห็นใจชาวปาปัวที่ต่อสู้? หรือคิดว่าทั้งหมดคือวงจรอุบาทว์ที่ไม่มีทางออก? ฝากไว้ให้คิดกันครับ

อ้างอิง: Wikipedia, Reuters, Human Rights Watch, UN Human Rights Committee, Minority Rights Group

วันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2568

Media Literacy: ทักษะที่ไม่เคยเปลี่ยน จากห้องสมุดสู่ AI Search

ในทุกยุคสมัย มนุษย์มีเครื่องมือสำหรับค้นหาความรู้แตกต่างกันไป แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนเลยคือ — ความสามารถในการตั้งคำถามและคัดกรองข้อมูล คือทักษะที่แยก "คนที่เข้าใจจริง" ออกจาก "คนที่ถูกหลอก" อยู่เสมอ การเข้าถึงข้อมูลไม่เคยเท่ากับการเข้าถึงความรู้ แต่ต้องผ่านการคิด วิเคราะห์ และเลือกใช้ด้วยสติปัญญา


ยุคอดีต: ห้องสมุดและสารบัญ

ในยุคที่ยังไม่มีอินเทอร์เน็ต ความรู้ถูกเก็บอยู่ในห้องสมุด หนังสือเป็นแหล่งข้อมูลหลัก คนทั่วไปเดินเข้าไปสุ่มหาหนังสือที่ปกสวยหรือชื่อชวนอ่าน แต่ คนที่เข้าใจระบบดัชนี–สารบัญ กลับค้นเจอหนังสือที่ตอบโจทย์ได้เร็วและแม่นกว่า นี่คือ media literacy เวอร์ชันดั้งเดิม: รู้ว่าต้องถามหาอะไรและจะหาที่ไหน

ความต่างระหว่างคนที่ "รู้จักหาทาง" กับคนที่ "เดินสุ่ม" คือระดับของการเรียนรู้ และนี่เป็นรากฐานที่ทำให้เห็นชัดว่า media literacy เป็นทักษะที่ไม่เคยหมดความสำคัญ แม้เครื่องมือจะเปลี่ยนผ่านกี่ยุคสมัยก็ตาม


ยุคปัจจุบัน: Google และการค้นหาแบบ keyword

เมื่อเข้าสู่ยุคอินเทอร์เน็ต การค้นหาความรู้เปลี่ยนเป็น "พิมพ์คำถามลง Google" แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้ผลลัพธ์คุณภาพเท่ากัน

  • คนที่ใช้คำกว้าง ๆ เช่น “ลดน้ำหนักเร็ว” มักเจอแต่คอนเทนต์ขยะ SEO farm

  • คนที่ใช้ keyword เฉพาะ และ search operator เช่น “intermittent fasting site:who.int filetype:pdf” จะเจอเอกสารทางการแพทย์จริง

ในโลกที่ข้อมูลดีและข้อมูลกากถูกปั่นแข่งกันอยู่บนหน้าแรก Google การเลือกคำค้นคือด่านคัดกรองความรู้ และยิ่งข้อมูลเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ การรู้วิธีเจาะคำถามก็ยิ่งสำคัญ

Case Study: ลองเสิร์ชคำว่า “ทำความสะอาดตับ” จะเจอทั้งบทความหมอปลอมและโฆษณาสมุนไพรเต็มไปหมด แต่ถ้าใส่เงื่อนไข site:mahidol.ac.th หรือ filetype:pdf จะเจอข้อมูลวิชาการจากมหาวิทยาลัยแทน — นี่คือตัวอย่างชัด ๆ ของพลัง keyword skill

ปัญหาที่หนักขึ้นคือ SEO spam ที่ผลิตบทความเป็นพัน ๆ หน้าเพื่อให้ติดอันดับแรก และผู้ใช้จำนวนมากไม่เคยเลื่อนเกินหน้าแรกของ Google เลย นั่นทำให้คนจำนวนมากรับข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเป็นเรื่องปกติ โดยไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่ามีข้อมูลคุณภาพซ่อนอยู่ด้านหลัง


ยุคอนาคต: AI Search และทักษะการตั้งคำถาม

เมื่อ AI อย่าง ChatGPT, Gemini หรือ Copilot กลายเป็นเครื่องมือหลักในการค้นหาความรู้ เราไม่ได้เห็น “10 ลิงก์” แล้วเลือกเองอีกต่อไป แต่ได้เป็นคำตอบสรุปที่ AI เลือกมาให้ การที่ AI ทำหน้าที่เป็น "ผู้กรอง" และ "ผู้สรุป" ในเวลาเดียวกัน ทำให้ทักษะการตั้งคำถามยิ่งสำคัญกว่ายุคก่อน

  • ถามสั้น ๆ → ได้คำตอบตื้น ๆ หรือ bias จากคอนเทนต์ขยะ

  • ถามเจาะลึกเป็นลำดับ → ได้ insight จริง พร้อมที่มา อ้างอิง และการวิเคราะห์เชิงลึก

Case Study: คลิปไวรัลบน TikTok ที่สอน “ปลูกต้นไม้ด้วยน้ำอัดลม” ได้ล้านวิว ทั้งที่ทางการเกษตรระบุชัดว่าทำให้ดินเสีย แต่ถ้าเราถาม AI แบบเจาะ เช่น “มีหลักฐานวิจัยไหมว่าน้ำอัดลมช่วยให้พืชโตดีขึ้น?” → AI จะค้นเจอว่ามีแต่หลักฐานเชิงลบและอธิบายเหตุผลทางวิทยาศาสตร์

ทักษะใหม่จึงไม่ใช่แค่ keyword skill แต่คือ prompt skill: การตั้งคำถามที่ชัด กำหนดกรอบเวลา พื้นที่ เงื่อนไข และถามต่อเนื่องจนกว่าจะได้คำตอบที่ใช้ได้จริง การถามที่ดีคือการเรียนรู้เป็นขั้นบันได คำตอบแรกอาจไม่ครบ แต่สามารถนำไปสู่คำถามถัดไปที่คมชัดขึ้นเรื่อย ๆ


ปัญหาใหม่: การครอง filter ของบริษัทยักษ์ใหญ่

ในโลกของ AI Search ปัญหาสำคัญคือ “ใครคุมตัวกรองข้อมูล”

  • Google มี web index + YouTube

  • OpenAI มี LLM ที่สรุปและกรอง

  • Microsoft, Meta ต่างก็สร้าง ecosystem ของตัวเอง

สุดท้ายโลกอาจเหลือไม่กี่ gatekeeper ที่ครองสิทธิ์คัดเลือกสิ่งที่เราเห็น และถ้า business model คือโฆษณา → ผลลัพธ์ที่ปรากฏก็อาจเป็นสิ่งที่ "ใครจ่ายเงินมากกว่า" มากกว่าจะเป็นความจริงที่ควรรู้

นี่คือความเสี่ยงที่สังคมอาจถูกป้อน "ความจริงเชิงพาณิชย์" มากกว่า "ความจริงเชิงวิทยาศาสตร์หรือสังคม"

Case Study: Google เคยถูกวิจารณ์ว่าผลเสิร์ชเรื่อง “ซื้อประกันสุขภาพ” เต็มไปด้วยโฆษณาเจ้าใหญ่ ๆ อยู่บนสุด ทั้งที่อาจไม่ใช่ตัวเลือกที่เหมาะกับทุกคน แสดงให้เห็นว่าฟิลเตอร์ถูกควบคุมด้วยเม็ดเงิน

หากอนาคต AI ถูกผูกขาดโดยบริษัทใหญ่ไม่กี่เจ้า เราอาจเจอกับ "ความจริงที่เลือกได้" แทนที่จะเป็นภาพรวมของความจริงทั้งหมด นี่คือความท้าทายใหม่ของ media literacy ในศตวรรษนี้


ทำไม Media Literacy ยังสำคัญเสมอ

ไม่ว่าเทคโนโลยีจะเปลี่ยนไปแค่ไหน แก่นยังเหมือนเดิม: คนที่ถามฉลาด จะได้คำตอบฉลาด

  • ห้องสมุด → คนที่รู้จักใช้ดัชนี ชนะคนเดินสุ่ม

  • Google → คนที่ใช้ keyword/operator ชนะคนพิมพ์คำกว้าง

  • AI → คนที่ถามเจาะเป็นลำดับ ชนะคนที่ถามสั้นแล้วหวังให้ AI ตอบแทน

เพราะสุดท้าย AI ก็เป็นเพียง "กระจก" ที่สะท้อนระดับคำถามของเรา ถามโง่ → ได้คำตอบโง่ ถามลึก → ได้ความรู้ลึก และสิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ คนที่ไม่เคยฝึกตั้งคำถามอาจคุ้นชินกับคำตอบสั้น ๆ ของ AI จนขาดทักษะการคิดวิเคราะห์ไปโดยไม่รู้ตัว


บทเรียนที่ควรตระหนัก

  1. ข้อมูลขยะจะมีอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นคลิป fake DIY, บทความ SEO, หรือ spam ที่สร้างด้วย AI

  2. ฟิลเตอร์จะยิ่งถูกผูกขาด โดยบริษัทใหญ่ไม่กี่เจ้า ซึ่งอาจ bias ด้วยผลประโยชน์

  3. ผู้ใช้ต้องสร้างภูมิคุ้มกันเอง ผ่าน media literacy: การตั้งคำถามที่ถูก, การตรวจสอบที่มา, และการ cross-check หลายแหล่ง

  4. สังคมต้องสอนทักษะนี้ตั้งแต่เด็ก เพราะถ้ารอให้เรียนรู้เองตอนโต เราอาจเจอประชากรส่วนใหญ่ที่เชื่อคลิป fake มากกว่าบทความวิชาการ


สรุป

โลกเปลี่ยนผ่านจากห้องสมุด → search engine → AI filter แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคือ ความเหลื่อมล้ำด้านการเรียนรู้ คนที่มีทักษะ media literacy จะหาความจริงเจอเสมอ ส่วนคนที่ไม่มี ก็จะวนอยู่กับคำตอบตื้น ๆ ที่ถูกสร้างมาเพื่อดึงดูดความสนใจ

เทคโนโลยีเปลี่ยนเครื่องมือ แต่ทักษะการถามและคัดกรองคือกุญแจที่ไม่เคยเปลี่ยน

เมื่อข้อมูลขยะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และ AI กลายเป็นด่านกรองที่สำคัญ ความท้าทายของอนาคตไม่ใช่แค่การสร้างเทคโนโลยีที่ดี แต่คือการทำให้ผู้ใช้ทุกคนมีภูมิคุ้มกันพอที่จะไม่ถูกหลอกง่าย ๆ — และนั่นคือสาระของ media literacy ที่จะยังคงเป็นตัวแบ่งแยกคนเก่งออกจากคนทั่วไปตลอดไป

ไฟฟ้าไทย: พอหรือยัง? ทำไมยังสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่ม

หลายปีที่ผ่านมา คนไทยจำนวนไม่น้อยตั้งคำถามว่า “ทำไมเราต้องสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่ม ทั้ง ๆ ที่ไฟฟ้าสำรองมีเหลือเฟือ?” คำถามนี้ไม่ได้เกิดจากความรู้สึกอย่างเดียว แต่สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบพลังงานไทยจริง ๆ การทำความเข้าใจเรื่องนี้จำเป็นต้องมองทั้งที่มา ปัญหาปัจจุบัน และทิศทางอนาคต เพื่อให้เห็นภาพว่าประเทศกำลังเผชิญอะไรอยู่ และกำลังจะเดินไปทางไหน


ไฟฟ้าไทยมาจากไหน

  • ก๊าซธรรมชาติ: แหล่งหลักของไทย ใช้ผลิตไฟฟ้ามากกว่า 60% ของทั้งหมด ปัญหาคือราคาก๊าซผันผวนสูง โดยเฉพาะเมื่อต้องนำเข้า LNG จากต่างประเทศ และแหล่งก๊าซในอ่าวไทยเองก็เริ่มร่อยหรอ การพึ่งพาก๊าซมากเกินไปจึงเสี่ยงทั้งด้านต้นทุนและความมั่นคงระยะยาว

  • ถ่านหินและน้ำมัน: มีสัดส่วนเล็กลงเรื่อย ๆ เพราะแรงต้านด้านสิ่งแวดล้อม มลพิษ และต้นทุนขนส่งที่สูงขึ้น แต่ก็ยังคงมีอยู่ในระบบบางส่วนเพื่อรักษาความหลากหลาย

  • พลังงานหมุนเวียน: โซลาร์ฟาร์ม, ลม, ชีวมวล และชีวแก๊ส เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น แต่ยังไม่ใช่ฐานหลักเพราะปัญหาความไม่เสถียร (ผลิตได้เฉพาะเมื่อมีแดดหรือมีลม) และต้นทุนระบบกักเก็บที่ยังแพง

  • นำเข้าไฟฟ้า: ไทยซื้อมาจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว ที่มีเขื่อนพลังน้ำขนาดใหญ่ ราคาค่อนข้างถูก และช่วยกระจายความเสี่ยงด้านเชื้อเพลิง นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างความร่วมมือระดับภูมิภาคด้วย


ปัญหาพลังงานไทย: พอใช้หรือไม่

  • กำลังการผลิตติดตั้ง: ประมาณ 50,000 เมกะวัตต์

  • การใช้สูงสุด (Peak demand): อยู่ที่ 32,000–34,000 เมกะวัตต์

  • ไฟฟ้าสำรอง: มากกว่า 30% ในขณะที่มาตรฐานโลกอยู่ราว 15%

ตัวเลขเหล่านี้บ่งชี้ว่า “ไฟฟ้ามีเหลือ” แต่ทำไมยังมีการสร้างเพิ่ม? คำตอบคือ…

  1. ไม่ใช่ว่าทุกโรงไฟฟ้าพร้อมเดินเครื่องตลอดเวลา – โรงไฟฟ้าบางแห่งเก่า บางแห่งหยุดซ่อม หรือมีต้นทุนเชื้อเพลิงแพงจนไม่ถูกเรียกใช้

  2. พื้นที่ผลิต–พื้นที่ใช้ไม่ตรงกัน – บางภาคผลิตไฟได้มาก แต่สายส่งไปยังพื้นที่ใช้ไฟสูงไม่เพียงพอ ทำให้เกิดไฟฟ้าสำรองแบบกระจุกตัว ไม่ได้ใช้จริง

  3. ความมั่นคงระยะยาว – หากพึ่งพาก๊าซมากเกินไป เมื่อราคาพุ่งสูงจะกระทบค่าไฟทั้งประเทศทันที


ทำไมยังต้องซื้อไฟฟ้าจากเพื่อนบ้าน

  • ลาว เป็นตัวอย่างสำคัญ มีเขื่อนใหญ่และสามารถผลิตไฟฟ้าพลังน้ำได้ปริมาณมากและราคาต่ำกว่าไทย การนำเข้าไฟจากลาวจึงช่วยให้ระบบไฟฟ้ามีเสถียรภาพและต้นทุนรวมลดลง

  • การซื้อไฟฟ้าข้ามพรมแดนยังถือเป็น ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงพลังงาน หากก๊าซธรรมชาติขาดแคลน หรือราคานำเข้า LNG สูงเกิน ไทยยังมีไฟฟ้าจากเพื่อนบ้านเป็นตัวเสริม


ทำไมต้องมีโรงไฟฟ้าเอกชน (IPP/SPP/VSPP)

  • รัฐบาลไม่สามารถลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าเองได้ทั้งหมด จึงเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามาลงทุนเพื่อลดภาระของ กฟผ.

  • เอกชนลงทุนก่อสร้างเอง แต่รัฐทำสัญญารับซื้อไฟระยะยาว (20–25 ปี) → เป็นการ การันตีรายได้ให้เอกชน ขณะที่ประชาชนต้องแบกรับค่าไฟที่รวมต้นทุนนี้ไปด้วย

  • หลายโครงการเอกชนจึงเกิดขึ้น แม้ดูเหมือนว่าไฟฟ้าในประเทศมีเกินพออยู่แล้ว นี่คือโครงสร้างที่ผูกพันกันระหว่างนโยบาย รัฐ และกลุ่มทุน


ทำไมต้องสร้างเพิ่ม ทั้ง ๆ ที่ไฟฟ้าสำรองเหลือเฟือ

  1. นโยบายสิ่งแวดล้อมและภาพลักษณ์ระหว่างประเทศ – ไทยประกาศเป้า Net Zero และ Carbon Neutrality จึงต้องเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน แม้จะทำให้ไฟฟ้าเกินความต้องการก็ตาม

  2. กระจายความเสี่ยงเชื้อเพลิง – ลดการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติที่ปัจจุบันมีสัดส่วนสูงเกินไป

  3. เศรษฐกิจและการลงทุน – เปิดโอกาสให้นักลงทุนเอกชนหมุนเงิน สร้างงาน และดึงเม็ดเงินจากสถาบันการเงินเข้ามาในประเทศ

  4. การเมืองและผลประโยชน์ – การสร้างโรงไฟฟ้าเอกชนมักมีผู้ได้ประโยชน์ชัดเจน ทั้งกลุ่มทุนใหญ่และโครงการ CSR ที่กระจายไปยังพื้นที่ก่อสร้าง


แล้วอนาคตจะไปทางไหน

  • ไฟฟ้าสำรองจะยังเกิน: หากรัฐยังเดินหน้ารับซื้อไฟเอกชนโดยไม่ปรับโครงสร้าง ระบบจะมีไฟฟ้าสำรองเกินมาตรฐานต่อไป และค่าไฟบ้านเรือนมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ

  • Grid Constraint: สายส่งกลายเป็นคอขวด หลายพื้นที่ผลิตไฟฟ้าได้แต่ส่งเข้าโครงข่ายหลักไม่สะดวก → จำเป็นต้องลงทุนเพิ่มในระบบสายส่งและสถานีไฟฟ้าย่อย

  • พลังงานหมุนเวียน: จะเพิ่มสัดส่วนอย่างต่อเนื่อง แต่ความท้าทายคือการกักเก็บพลังงาน (Battery, Pumped Storage) หากแก้ไม่ได้จะเกิดปัญหา “ผลิตเกิน–ใช้ไม่ตรงเวลา”

  • ทิศทางโลก: ประเทศต่าง ๆ จะกดดันให้ไทยเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาด และเลิกพึ่งเชื้อเพลิงฟอสซิล การสร้างโรงไฟฟ้าใหม่จึงยังเลี่ยงไม่ได้ แม้ความต้องการใช้ไฟฟ้าในประเทศจะไม่ได้โตเร็วตามที่คาดหวัง


บทสรุป

ประเทศไทย ไม่ได้ขาดไฟฟ้า แต่สิ่งที่เรากำลังเผชิญคือ ปัญหาเชิงโครงสร้างนโยบายและทิศทางพลังงาน การสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มในช่วงนี้ไม่ใช่เพราะ “ไฟไม่พอ” แต่เพราะต้องการบรรลุเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม สร้างความมั่นคงด้านเชื้อเพลิง และขับเคลื่อนเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม หากไม่วางแผนและควบคุมให้ดี การมีไฟฟ้าสำรองมากเกินไปจะทำให้ประชาชนต้องแบกรับค่าไฟแพงขึ้น โดยไม่สอดคล้องกับการใช้จริง

การตั้งคำถามว่า “เราจำเป็นต้องสร้างโรงไฟฟ้าใหม่จริงหรือ?” จึงเป็นการชวนสังคมทบทวนอย่างมีเหตุผล ว่า ไฟฟ้าไทยควรเดินไปทางไหนกันแน่ ไม่ใช่เพียงคำถามเล่น ๆ แต่เป็นโจทย์สำคัญของอนาคตประเทศ

วันศุกร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2568

ค่าจ้างขั้นต่ำและค่าครองชีพด้านอาหาร/กาแฟในไทย: ภาพเปลี่ยนแปลงใน 40 ปี

1. ค่าแรงขั้นต่ำของไทย

การกำหนดค่าแรงขั้นต่ำเริ่มมีผลชัดเจนตั้งแต่ทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา โดยข้อมูลที่พอมีให้เห็นแนวโน้ม ได้แก่:

  • ช่วงปี 1980s: ค่าแรงขั้นต่ำเพียง ~40–45 บาท/วัน (ขึ้นกับจังหวัด)

  • ปี 1990s: เพิ่มขึ้นสู่ระดับ ~120–150 บาท/วัน

  • ปี 2000s: ค่าแรงเฉลี่ยขยับสู่ ~170–190 บาท/วัน

  • ปี 2010: ราว 206 บาท/วัน

  • ปี 2012: รัฐบาลประกาศ “ค่าแรง 300 บาท” ทั่วประเทศ

  • ปี 2020: เฉลี่ย ~331 บาท/วัน

  • ปี 2025: เฉลี่ย ~374 บาท/วัน (บางจังหวัดเช่น กทม. ~400 บาท)

สรุป: ในรอบ 40 ปี ค่าแรงขั้นต่ำโตจากหลักสิบบาท → หลักหลายร้อยบาทต่อวัน


2. ราคาของกินหลัก ๆ

อาหารจานเดียว / ก๋วยเตี๋ยว

  • ปี 1980s–1990s: ก๋วยเตี๋ยว ~5–10 บาท, อาหารจานเดียว ~10–15 บาท

  • ปี 2000s: ก๋วยเตี๋ยว ~20 บาท, อาหารจานเดียว ~20–25 บาท

  • ปี 2010s: ก๋วยเตี๋ยว ~25–30 บาท, อาหารจานเดียว ~30–35 บาท

  • ปี 2025: ก๋วยเตี๋ยว ~40–50 บาท, อาหารจานเดียว ~50–60 บาท (บางร้านสูงกว่า)

กาแฟ

  • กาแฟโบราณ (รถเข็น): จาก 5 บาท (1980s) → 10–15 บาท (2000s) → 25–35 บาท (2025)

  • เชนท้องถิ่น เช่น Café Amazon: เริ่มต้นราว 25–30 บาท (2000s) → 55–65 บาท (2025)

  • พรีเมียม/ต่างชาติ เช่น Starbucks: จาก ~70–80 บาท (2000s) → 120–150 บาท (2025)


3. การเปรียบเทียบค่าแรงกับราคาอาหาร/กาแฟ

เพื่อให้เห็นภาพชัด ลองคำนวณ “สัดส่วนรายได้ขั้นต่ำต่ออาหาร/กาแฟ” ในบางปีหลัก ๆ

ปี ค่าแรงขั้นต่ำ (บาท/วัน) ก๋วยเตี๋ยว (บาท/ชาม) % ค่าแรง/ชาม กาแฟรถเข็น (บาท/แก้ว) % ค่าแรง/แก้ว
1985 ~45 7 ~15.6% 5 ~11.1%
1995 ~120 12 ~10.0% 8 ~6.7%
2005 ~175 20 ~11.4% 12 ~6.9%
2012 300 30 ~10.0% 20 ~6.7%
2025 374 50 ~13.4% 30 ~8.0%

4. สิ่งที่เห็นจากข้อมูล

  1. ค่าแรงขึ้นหลายเท่า แต่ราคาของกินขึ้นตามทัน ทำให้สัดส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ไม่ลดลงมากอย่างที่คิด

  2. ในยุค 1980s คนกินก๋วยเตี๋ยว 1 ชามหมด ~15% ของค่าแรงวันนั้น ขณะที่ปัจจุบัน (2025) กินก๋วยเตี๋ยวชามเดียวหมด ~13–14% ของค่าแรง ซึ่งต่างกันไม่มากนัก

  3. กาแฟโบราณยังคงเป็นตัวเลือก “คุ้มค่า” เพราะสัดส่วนต่อค่าแรงลดลงจาก ~11% (1985) เหลือ ~8% (2025)

  4. แต่ถ้าดื่มกาแฟเชนหรือพรีเมียม จะกินสัดส่วนค่าแรงสูงขึ้นเรื่อย ๆ เช่น Starbucks ปัจจุบัน 120–150 บาท เท่ากับ ~30–40% ของค่าแรงขั้นต่ำวันเดียว


5. บทสรุป

ตลอด 40 ปีที่ผ่านมา แม้ค่าแรงขั้นต่ำไทยจะเพิ่มขึ้นมาก แต่ราคาของกินหลัก ๆ ทั้งอาหารจานเดียวและกาแฟก็ขึ้นแทบจะขนานกัน ทำให้ “สัดส่วนการใช้จ่าย” ต่อค่าแรงยังคงสูงอยู่ โดยเฉพาะอาหารจานหลักที่ยังอยู่ในระดับ ~10–15% ของค่าแรงต่อ 1 มื้อ

สิ่งนี้สะท้อนว่า คนไทยแม้มีค่าแรงสูงขึ้น แต่ “กำลังซื้อด้านอาหาร” ไม่ได้ดีขึ้นมากนักเมื่อเทียบในระยะยาว ขณะที่พฤติกรรมการเลือกเครื่องดื่ม เช่น กาแฟเชนหรือพรีเมียม กลายเป็น “สินค้าฟุ่มเฟือย” ที่กินค่าแรงต่อวันมากขึ้นเรื่อย ๆ


แหล่งอ้างอิง

  • ข้อมูลค่าแรงขั้นต่ำย้อนหลัง: Eulerpool (Minimum Wages Thailand), FrankLegal & Tax, ข่าวกระทรวงแรงงาน

  • ข้อมูลราคาอาหารจานเดียวและก๋วยเตี๋ยว: รายงาน AREA (Agency for Real Estate Affairs), Nation Thailand, กรุงเทพธุรกิจ

  • ข้อมูลราคากาแฟ: DBD (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า), BangkokBizNews, Kasikorn Research Center

  • ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และเงินเฟ้ออาหาร: CEIC Data, สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (TPSo)

วันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2568

กฎหมายการเปลี่ยนเพศในเวียดนาม: สิทธิที่มีอยู่บนกระดาษ และความจริงที่ยังรอการบังคับใช้

จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง

ปี 2015 รัฐสภาเวียดนามได้ผ่าน ประมวลกฎหมายแพ่งฉบับใหม่ (Civil Code) โดยมีมาตรา 37 ระบุสิทธิให้ผู้ที่ "เปลี่ยนเพศแล้ว" สามารถแก้ไขข้อมูลสถานะทางทะเบียน (hộ tịch) ได้ เช่น การเปลี่ยนเพศในบัตรประชาชน หนังสือเดินทาง ใบสูติบัตร และเอกสารทางราชการอื่น ๆ กฎหมายนี้เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2017 และถูกมองว่าเป็นก้าวย่างสำคัญด้านสิทธิมนุษยชนสำหรับชุมชนข้ามเพศในเวียดนาม

ในช่วงเวลานั้น สื่อมวลชนและนักกิจกรรมสิทธิพลเมืองต่างพากันเฉลิมฉลอง หลายคนเรียกเหตุการณ์นี้ว่า "ช่วงเวลาประวัติศาสตร์" เพราะถือเป็นครั้งแรกที่รัฐเวียดนามยอมรับสถานะของคนข้ามเพศอย่างเป็นทางการในระดับโครงสร้างทางกฎหมาย หลังจากที่ประเด็นนี้ถูกผลักดันและถกเถียงมาหลายปี


ความคาดหวังของสังคม

การประกาศใช้กฎหมายดังกล่าวสร้างความหวังครั้งใหญ่ให้กับชุมชน LGBTQ+ และผู้ข้ามเพศโดยเฉพาะ:

  • ผู้ข้ามเพศหวังว่าจะสามารถ เปลี่ยนเพศในเอกสารทางราชการได้จริง ทำให้ชีวิตประจำวัน เช่น การสมัครงาน การเดินทาง การเข้าถึงบริการสาธารณะ สอดคล้องกับอัตลักษณ์ของตนเอง

  • นักกิจกรรมคาดว่าจะเกิดการปฏิรูปในระบบสาธารณสุข โดยเปิดให้โรงพยาบาลเวียดนามสามารถทำการผ่าตัดยืนยันเพศ (gender-affirming surgery) ได้ ไม่จำกัดเฉพาะผู้ที่เกิดมามีลักษณะเพศกำกวม (intersex) เท่านั้น แต่ให้สิทธิแก่ผู้ที่มีภาวะ Gender Dysphoria ทุกคน

  • นักสิทธิมนุษยชนและนักกฎหมายยังมองว่ากฎหมายนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการต่อสู้เพื่อสิทธิอื่น ๆ ต่อเนื่อง เช่น การสมรสเพศเดียวกัน การคุ้มครองด้านการทำงาน และสิทธิในการเลี้ยงดูบุตรบุญธรรม


ความเป็นจริงหลังปี 2017

แม้กฎหมายหลักจะประกาศใช้ แต่ในทางปฏิบัติกลับพบปัญหามากมาย:

  1. ขาดกฎหมายลูก (implementing law) ที่ระบุขั้นตอน วิธีการ และหลักฐานที่ใช้ยื่นขอเปลี่ยนเพศในเอกสาร เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นหลายแห่งไม่กล้าดำเนินการเพราะไม่มีแนวทางชัดเจน

  2. การไม่ยอมรับเอกสารแพทย์ต่างประเทศ คนเวียดนามจำนวนมากเดินทางไปผ่าตัดที่ไทย ซึ่งเป็นศูนย์กลางการผ่าตัดข้ามเพศ แต่เมื่อกลับมา เวียดนามยังไม่มีข้อกำหนดชัดเจนว่าหลักฐานทางการแพทย์จากต่างประเทศสามารถนำมาใช้ได้หรือไม่

  3. ระบบสาธารณสุขภายในประเทศยังจำกัด การผ่าตัดแปลงเพศในเวียดนามยังไม่เปิดกว้าง ขาดบุคลากรเฉพาะทาง และไม่อยู่ในบริการสาธารณสุขที่รัฐครอบคลุม

ผลลัพธ์คือ แม้จะมีสิทธิถูกประกาศในกฎหมาย แต่จนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีข่าวหรือกรณีที่บุคคลสามารถเปลี่ยนเพศในเอกสารทางราชการได้สำเร็จจริง ชีวิตประจำวันของคนข้ามเพศจึงยังเต็มไปด้วยอุปสรรค


ร่างกฎหมายใหม่: ความหวังที่ยังรออยู่

ในปี 2023–2024 กระทรวงยุติธรรมเวียดนามได้เผยแพร่ ร่างกฎหมายยืนยันเพศ (Gender Affirmation Law / Gender Reassignment Law) ซึ่งมีรายละเอียดที่มากกว่าเดิมและถูกออกแบบมาเพื่อปิดช่องว่างที่กฎหมายแพ่งทิ้งไว้:

  • ผู้ยื่นคำขอต้องมีอายุอย่างน้อย 18 ปี (หรือ 16–18 ปีถ้ามีความยินยอมจากผู้ปกครอง)

  • ต้องได้รับการวินิจฉัยภาวะ "Gender Dysphoria" อย่างเป็นทางการจากแพทย์ที่ได้รับการรับรอง

  • ต้องได้รับ "ใบรับรองการเปลี่ยนเพศ (gender recognition certificate)" จากหน่วยงานรัฐจึงจะสามารถไปเปลี่ยนเอกสารราชการได้

  • ร่างกฎหมายยังกล่าวถึงการรับรองสิทธิทางสุขภาพ เช่น การเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่ปลอดภัยและการให้คำปรึกษาทางจิตวิทยา

แม้ร่างกฎหมายนี้จะถูกมองว่าเป็นความหวังครั้งใหม่ แต่จนถึงขณะนี้ยังเป็นเพียงร่างที่อยู่ระหว่างพิจารณาและยังไม่ถูกประกาศใช้จริง ทำให้สถานะของผู้ข้ามเพศในเวียดนามยังคงอยู่ในสภาพ “สิทธิมีบนกระดาษ แต่ชีวิตจริงยังเต็มไปด้วยข้อจำกัด”


สถานะปัจจุบัน (2025)

  • สิทธิตามกฎหมายหลักมีอยู่แล้ว: ประมวลกฎหมายแพ่งปี 2015 เปิดช่องไว้ตั้งแต่ปี 2017 แต่ยังไม่ถูกใช้จริงในเชิงปฏิบัติ

  • ยังไม่มีตัวอย่างสำเร็จจริง: ไม่มีรายงานอย่างเป็นทางการว่ามีใครได้เปลี่ยนเพศในบัตรประชาชนหรือทะเบียนราษฎรแล้ว

  • ร่างกฎหมายลูกยังอยู่ระหว่างการพิจารณา: คาดว่าอาจมีผลบังคับใช้ในช่วงปี 2026 หรือหลังจากนั้น

  • สิทธิการสมรสเพศเดียวกันยังไม่ถูกยอมรับ: แม้คนข้ามเพศที่เปลี่ยนเพศทางกฎหมายแล้วจะสามารถแต่งงานกับเพศตรงข้ามตามเอกสารได้ แต่คู่รักเพศเดียวกันที่ไม่ได้เปลี่ยนเพศยังถูกกันออกจากสิทธิการสมรส

  • ทัศนคติสังคมกำลังเปลี่ยนแปลง: งานวิจัยและการสำรวจความคิดเห็นชี้ว่าคนรุ่นใหม่ในเวียดนามมีแนวโน้มสนับสนุนสิทธิของชุมชน LGBTQ+ มากขึ้น แต่ทัศนคติของสังคมโดยรวมยังมีความอนุรักษนิยมสูง


บทสรุป

เรื่องราวของกฎหมายการเปลี่ยนเพศในเวียดนามเป็นภาพสะท้อนของทั้งความก้าวหน้าและความท้าทายที่ดำเนินไปพร้อมกัน:

  • ก้าวหน้า: เพราะเวียดนามเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ประกาศสิทธิในการเปลี่ยนเพศในกฎหมายแพ่ง ถือเป็นการยอมรับที่สำคัญในเชิงสัญลักษณ์

  • อุปสรรค: การขาดกฎหมายลูก ขั้นตอนปฏิบัติที่ยังไม่ชัดเจน และโครงสร้างสาธารณสุขที่ยังไม่พร้อม ทำให้สิทธิที่มีอยู่ยังไม่สามารถใช้งานได้จริง

สำหรับชุมชนข้ามเพศเวียดนาม ความหวังยังคงฝากไว้กับการผลักดัน “Gender Affirmation Law” และการเปลี่ยนทัศนคติของสังคม หากกฎหมายนี้ถูกบังคับใช้อย่างสมบูรณ์ จะไม่เพียงแต่ทำให้สิทธิเหล่านี้ออกจากกระดาษ แต่ยังอาจเป็นก้าวสำคัญสู่การต่อสู้เพื่อสิทธิที่เท่าเทียมยิ่งขึ้นในอนาคต

วันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2568

ปัญหาของงานวิจัยไทย: จากวัคซีนโควิดถึงวงจรเดิมที่ไม่เคยเปลี่ยน

ช่วงโควิด-19 เป็นบททดสอบครั้งใหญ่ของระบบวิจัยไทย เราได้เห็นมหาวิทยาลัย หน่วยงานรัฐ และสถาบันต่าง ๆ ออกมาประกาศโครงการวัคซีนฝีมือไทยอย่างยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น ChulaCov19 (mRNA ของจุฬาฯ), วัคซีนใบยาสูบของ Baiya Phytopharm, หรือ NDV-HXP-S ของมหิดลและองค์การเภสัชกรรม

ทุกโครงการถูกนำเสนออย่างอลังการ ผ่านทั้งสื่อกระแสหลักและโซเชียล มีการจัดงานแถลงข่าว มีคำพูดเชิงปลุกใจว่า “วัคซีนไทยก้าวไกล” หรือ “เราจะมีวัคซีนของคนไทยเอง” พร้อมกันนั้นก็เปิดบัญชีรับบริจาคเพื่อสนับสนุนงานวิจัย ประชาชนจำนวนมากที่อยากเห็นประเทศมีวัคซีนของตัวเองก็ร่วมสมทบด้วยความหวัง แต่สุดท้ายแล้ว…ไม่มีวัคซีนตัวไหนที่พัฒนาไปจนถึงขั้นขึ้นทะเบียนใช้จริงในระบบสาธารณสุข ประชาชนไทยทั้งประเทศยังคงต้องพึ่งพาวัคซีนจากต่างประเทศทั้งหมด

วัคซีนโควิดฝีมือไทย: ที่มาที่ไปและผลลัพธ์

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ลองไล่เรียงโครงการหลัก ๆ ที่เคยเป็นข่าวใหญ่:

  1. ChulaCov19 (mRNA ของจุฬาฯ)

    • พัฒนาโดยคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับศูนย์วิจัยและบริษัท BioNet-Asia

    • เป็นวัคซีนชนิด mRNA ที่ออกข่าวว่า “ของคนไทยเอง” มีการทดลองในสัตว์และเข้าสู่การทดลองในคนระยะที่ 1/2

    • ผลการวิจัยบางส่วนตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ แต่ไม่เคยเดินหน้าถึงระยะที่ 3 เพื่อขึ้นทะเบียนใช้งานจริง

    • สุดท้ายยังคงเป็นเพียงต้นแบบ ไม่เคยถูกนำมาใช้ในระบบสาธารณสุข

  2. วัคซีนใบยาสูบ (Baiya SARS-CoV-2 Vax)

    • พัฒนาโดย Baiya Phytopharm สตาร์ทอัพจากจุฬาฯ ใช้เทคนิคการผลิตโปรตีนไวรัสในใบยาสูบ Nicotiana benthamiana

    • เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ มีการรับบริจาคสนับสนุนจากประชาชน ทดลองในสัตว์และมี Phase 1 กับอาสาสมัครมนุษย์

    • ผลการทดลองรุ่นแรกออกมาว่าภูมิคุ้มกันต่ำ จึงพัฒนารุ่นที่ 2 ต่อ แต่ไม่เคยพัฒนาไปถึงขั้นขึ้นทะเบียนใช้จริง

    • สุดท้ายเงียบหายจากการสื่อสารสาธารณะ

  3. NDV-HXP-S (HXP-GPOVac) ของมหิดลและองค์การเภสัชกรรม

    • ใช้ไวรัสไข้หวัดนกดัดแปลงพันธุกรรมเป็นพาหะให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน

    • ได้รับความร่วมมือจากหลายสถาบัน รวมถึงองค์การเภสัชกรรม (GPO)

    • มีการทดลองทางคลินิกระยะต้นและมีผลวิจัยตีพิมพ์ในวารสารระดับนานาชาติ

    • อย่างไรก็ตามก็ไม่สามารถต่อยอดไปถึงระยะ 3 และไม่ถูกนำมาใช้จริงในระบบสาธารณสุขไทย

  4. โครงการอื่น ๆ

    • มีการประกาศว่ามีโครงการพัฒนาวัคซีนในไทยมากถึง 20 โครงการ ทั้งแบบโปรตีน, DNA, viral vector และอื่น ๆ

    • แต่ในความเป็นจริงมีเพียงไม่กี่โครงการที่เดินถึงการทดลองในคน ส่วนใหญ่หยุดอยู่ในขั้นแล็บหรือสัตว์ทดลอง

    • ไม่มีโครงการใดไปถึงขั้นขึ้นทะเบียนเพื่อใช้จริงกับประชาชน

วงจรอุบาทว์ของงานวิจัยไทย

นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ หากมองย้อนกลับไป เราจะเห็นว่าปัญหาแบบเดียวกันเกิดซ้ำ ๆ มานานหลายสิบปี:

  1. ประกาศโครม ๆ – ทุกครั้งต้องมีการประกาศใหญ่โตเพื่อสร้างภาพลักษณ์ว่า “ไทยก็ทำได้” ให้คนรู้สึกภูมิใจ

  2. ทำวิจัยได้ถึงแค่ห้องแล็บหรือการทดลองระยะต้น – ผลลัพธ์อาจถูกตีพิมพ์เป็นบทความวิชาการได้ แต่ยังห่างไกลจากการนำไปใช้จริงในชีวิตประจำวัน

  3. ขาดการต่อยอดเชิงอุตสาหกรรม – การวิจัยส่วนใหญ่ไม่ถูกต่อยอดด้วยทุนมหาศาลหรือความร่วมมือจากเอกชน ไม่มี ecosystem ที่ผลักให้งานวิจัยก้าวไปถึงขั้น commercialisation

  4. หายเงียบเมื่อเจอของจริง – เมื่อวัคซีนหรือเทคโนโลยีจากต่างประเทศเข้ามา ซึ่งมีคุณภาพดีกว่า ถูกกว่า และปลอดภัยกว่า โครงการไทยก็ถูกพับเก็บเงียบ ๆ ไม่มีการสรุปหรือประกาศยกเลิกอย่างเป็นทางการ

ทำไมมันถึงซ้ำซาก

สาเหตุที่วงจรนี้เกิดซ้ำซาก ไม่ใช่เพราะนักวิจัยไทยไม่เก่ง แต่เพราะระบบที่รายล้อมเต็มไปด้วยข้อจำกัด:

  • งบประมาณวิจัยไทย เน้นการเขียนรายงานและตัวชี้วัด มากกว่าผลลัพธ์ที่ใช้งานได้จริง งานจึงมักไปติดอยู่แค่การ “ทำให้เสร็จตามเกณฑ์”

  • วัฒนธรรมวิชาการ ให้ความสำคัญกับเครดิต ชื่อเสียง และตำแหน่ง มากกว่าการผลิตผลงานที่มีคุณภาพยั่งยืนและใช้ได้จริง

  • ความกลัวความเสี่ยงทางการเมือง หากวัคซีนหรือยาที่พัฒนาภายในถูกนำมาใช้แล้วเกิดปัญหาด้านความปลอดภัย จะไม่มีใครกล้ารับผิดชอบ จึงเลือกนำเข้าของที่พิสูจน์แล้วมากกว่า

  • การขาดโครงสร้างต่อยอด เช่น โรงงานผลิต การทดสอบทางคลินิกขนาดใหญ่ และการกระจายสู่ระบบสาธารณสุขไทย ที่ไม่เคยถูกลงทุนอย่างจริงจัง

ไม่ใช่แค่วัคซีน

สิ่งที่เกิดกับวัคซีนโควิด สะท้อนปัญหาเดียวกันกับงานวิจัยไทยแทบทุกแขนง ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนายามะเร็ง เครื่องมือแพทย์ เทคโนโลยีการเกษตร หรือแม้แต่โครงการนวัตกรรมในด้านพลังงาน ทุกครั้งจะมีการประกาศอย่างน่าตื่นเต้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราแทบไม่เคยเห็นผลลัพธ์ที่ถูกนำมาใช้จริงในชีวิตคนไทยส่วนใหญ่

ตัวอย่างเช่น งานวิจัยเกี่ยวกับยาต้านมะเร็งที่ถูกกล่าวว่าจะเป็นความหวังใหม่ให้ผู้ป่วย หรือเครื่องมือแพทย์ที่อ้างว่าเป็นนวัตกรรมของไทยเอง สุดท้ายก็จบลงด้วยการทดลองขนาดเล็ก ไม่เคยพัฒนาไปถึงขั้นที่โรงพยาบาลทั่วประเทศนำมาใช้งานจริง จนกลายเป็น pattern เดิม ๆ ที่ประชาชนเริ่มหมดศรัทธา

บทสรุป

ปัญหาของงานวิจัยไทยไม่ใช่เพราะเราขาดคนเก่งหรือไม่มีความรู้ความสามารถ แต่เป็นเพราะเราขาด ระบบต่อยอดที่เข้มแข็ง และขาด เจตจำนงจริงที่จะผลักดันงานวิจัยไปถึงปลายทาง หากระบบยังเป็นเช่นนี้ งานวิจัยไทยก็จะติดอยู่ในวังวน “ประกาศ – ทดลอง – เงียบหาย” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหมือนละครที่ฉายซ้ำทุกยุคทุกสมัย

สิ่งที่น่าเสียดายที่สุดคือ โอกาสในการสร้างประโยชน์จริงให้กับประชาชนกลับถูกทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย ขณะที่นักวิจัยรุ่นใหม่ที่มีความสามารถก็หมดไฟไปทีละคน เมื่อเห็นว่าความพยายามของพวกเขาไม่เคยถูกผลักดันสู่การใช้งานจริง นี่คือปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องการการแก้ไขอย่างจริงจัง หากไม่ทำอะไร งานวิจัยไทยก็จะยังคงเป็นเพียง “ข่าวใหญ่ชั่วคราว” ที่หายไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่มีวันกลายเป็นผลงานที่คนไทยได้ใช้ประโยชน์จริง

วันอังคารที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2568

ประเทศที่อยุติธรรม กับความทรงจำที่ถูกบังคับให้ลืม

ทุกครั้งที่หันกลับไปมองการเมืองไทย เราจะพบว่ามีร่องรอยบาดแผลที่ไม่เคยถูกเยียวยา ความรุนแรง การเหยียดหยาม การแบ่งขั้ว และการเรียกร้องรัฐประหารซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถูกทำให้กลายเป็นเรื่องปกติ จนผู้คนเริ่มทำเป็นเหมือนว่าไม่เคยเกิดขึ้น


การเมืองของการไม่มี Accountability

พรรคการเมืองใหญ่ ๆ โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กวักมือเรียกร้องให้เกิดรัฐประหารหลายครั้ง แต่ไม่เคยมีการยอมรับผิด ไม่มีการขอโทษต่อประชาชน การเมืองแบบไทย ๆ คือการพูดเอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้คนอื่น ในขณะที่คนตาย คนเจ็บ และผู้ที่สูญเสียชีวิตปกติสุขในครอบครัวกลับไม่ได้รับการเยียวยาอย่างแท้จริง


ดาราและสื่อ: จากผู้ผลักดันการแตกแยก สู่ภาพจำใหม่ที่ขาวสะอาด

ในช่วงวิกฤติการเมือง เสื้อเหลือง เสื้อแดง กปปส. และอื่น ๆ เราเห็นคนดัง ดารา พิธีกร สื่อ ออกมาหนุนข้างใดข้างหนึ่ง บางคนขึ้นเวที บางคนเหยียดคนจน บางคนใช้วาทะที่ผลักให้การปราบปรามเกิดขึ้นง่ายขึ้น แต่วันนี้ พวกเขากลับยืนออกสื่อ ยิ้มแย้มในฐานะนักแสดง นักธุรกิจ หรือ influencer เหมือนไม่เคยมีอดีตที่เปื้อนเลือด

นี่คือสิ่งที่ทำให้ผู้คนจำนวนหนึ่งรู้สึกขมขื่น เพราะการไม่มี accountability ในสังคมไทย ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเมือง แต่ขยายไปถึงคนดังและผู้มีอิทธิพลทางสังคมด้วย


ความย้อนแย้งของฝั่งที่เคยอ้างประชาธิปไตย

สิ่งที่ขมขื่นไม่แพ้กัน คือแม้แต่ฝั่งนักการเมืองเสื้อแดงหรือทักษิณเอง ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย พอวันหนึ่งกลับเข้าสู่อำนาจ ก็กลายเป็นกลุ่มที่เห็นแก่ประโยชน์ตนเอง ทำอะไรก็ไร้ผลงาน และลืมคนที่เคยลุกขึ้นสู้ให้พวกเขา

  • มวลชนที่เคยเสี่ยงชีวิต ถูกลดทอนให้เป็นเพียง “เครื่องมือ” กดดันเพื่อการต่อรองทางการเมือง

  • ข้อตกลงและการดีลกับชนชั้นนำ ทำให้การกลับมาของผู้นำบางคนไม่ใช่ชัยชนะของประชาชน แต่เป็นผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม

  • ระบบการเมืองไม่ได้ถูกซ่อมแซมจริง แต่กลับเดินซ้ำรอยเดิม

นี่ทำให้ประชาชนที่เคยทุ่มเทความศรัทธา รู้สึกเหมือนถูกหักหลัง และตอกย้ำว่าประชาธิปไตยไทยยังถูกใช้เป็นเพียง “เครื่องมือ” ของผู้เล่นในเกมอำนาจ


ความทรงจำที่ถูกกลบ และการ rewrite ประวัติศาสตร์

สิ่งที่น่ากลัวไม่แพ้กัน คือความพยายาม “ทำให้ลืม”

  • กระทู้รายชื่อคนดังที่เคยสนับสนุน กปปส. ใน Pantip หายไปทีละกระทู้

  • เนื้อหาที่กล่าวถึงการเมืองช่วงนั้นถูกกดลง archive

  • คนรุ่นใหม่ถูกเล่าให้ฟังแค่เพียงว่า “สังคมไทยเคยแตกแยก” โดยไม่บอกว่าใครเป็นผู้ก่อ ใครได้ประโยชน์ และใครต้องเจ็บปวด

นี่คือการลบความทรงจำทางการเมือง (political memory erasure) ที่ทำให้บาดแผลถูกซุกไว้ใต้พรม และสังคมก็เดินหน้าต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


ทำไมบางคนถึงลืมไม่ได้

เพราะมันไม่ใช่แค่ความต่างทางความคิด แต่มันคือชีวิตจริงของผู้คน

  • มีคนถูกยิงตาย มีบ้านถูกเผา มีครอบครัวแตกสลาย

  • มีคนจนถูกตราหน้าว่า “โง่ ซื้อเสียง” ทั้งที่เขาแค่เลือกในสิ่งที่ตอบโจทย์ชีวิต

  • มีผู้ชุมนุมถูกผลักดันให้กลายเป็น “ผู้ร้าย” ของชาติ

คนที่ผ่านสิ่งเหล่านี้มา จึงไม่อาจทำใจให้ลืมได้ง่าย ๆ และเมื่อเห็นผู้ที่เคยเป็นต้นเหตุยังคงยืนออกสื่ออย่างไม่สะทกสะท้าน มันก็ยิ่งตอกย้ำความอยุติธรรมในสังคมไทย


บทสรุป

สังคมไทยกำลังอยู่ในสภาวะที่ accountability หายไปจากระบบ ความจริงถูกบิดเบือน ความทรงจำถูกบังคับให้เลือนหาย ดาราและสื่อที่เคยผลักดันการแตกแยกกลับมายืนอยู่แถวหน้าเหมือนไม่เคยทำอะไรผิด และนักการเมืองที่เคยอ้างประชาธิปไตยก็กลับใช้มวลชนเป็นเพียงเครื่องมือไม่ต่างกัน

คนที่เจ็บปวดจึงยังคงอัดอั้น ไม่ใช่เพราะเกลียดชังอย่างไร้เหตุผล แต่เพราะสังคมนี้ไม่เคยทำให้ความจริงปรากฏ และไม่เคยทำให้คนที่ก่อเรื่องต้องรับผิดชอบอย่างแท้จริง.

วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2568

Timeline พรรคประชาธิปัตย์ vs. ประชาธิปไตยไทย

2489 – การก่อตั้ง

  • ก่อตั้ง 6 เม.ย. 2489 หลังการอภิวัฒน์ 2475 โดย ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช และกลุ่มอนุรักษ์นิยม

  • ช่วงนั้นเกิดกรณี “ตะโกนในโรงหนัง” ใส่ร้ายปรีดีว่า “ฆ่าในหลวง” มีการโยงถึง ส.ส. ปชป. (นายเลียง ไชยกาล) → ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ถูกมองว่า ใช้ข่าวลือทำลายคู่แข่งทางการเมือง

2490 – รัฐประหารจอมพลผิน

  • หลังรัฐประหาร 2490 ที่โค่นรัฐบาลปรีดี ปชป. “อยู่ร่วม” กับรัฐบาลใหม่ และมีส่วนได้อำนาจในสภา

  • ฝ่ายวิชาการบางคนจึงมองว่า พรรคนี้ “เกิดและเติบโตบนซากของรัฐประหาร”

2516–2519

  • พรรคอยู่ฝ่ายขวา สนับสนุนจอมพลถนอม–ประภาสบางช่วง

  • หลัง 6 ตุลา 2519 พรรคเข้าร่วมรัฐบาลธานินทร์ (ที่มาจากการแต่งตั้งภายหลังรัฐประหาร) → ถูกวิจารณ์ว่า เอื้อซ้ำให้ระบอบเผด็จการอยู่รอด

2534 – รัฐประหารสุจินดา

  • ปชป. ภายใต้ ชวน หลีกภัย ตอนแรก เข้าร่วมรัฐบาลสุจินดา ที่มาจากรัฐประหาร 2534 → ทำให้ถูกมองว่า “ร่วมมือกับคณะ รสช.”

  • แต่ต่อมา พรรคถอนตัวและได้คะแนนบวกตอนพฤษภา 2535 (ชวนขึ้นเป็นนายกฯ หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ) → พยายามเอาดีใส่ตัวว่าตัวเอง “ฝั่งประชาธิปไตย”

2549 – รัฐประหารโค่นทักษิณ

  • ปชป. บอยคอตเลือกตั้ง เม.ย. 2549 → ทำให้สถานการณ์ทางการเมืองล่มและเปิดทางให้รัฐประหาร 19 กันยา

  • หลังรัฐประหาร พรรคลงเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญที่ คมช. เขียน → ถูกวิจารณ์ว่า เป็นพรรคที่รับรองผลรัฐประหาร

2551 – ศาลยุบพรรคไทยรักไทย / พลังประชาชน

  • หลังกลุ่มพันธมิตรฯ ปิดสนามบิน–โค่นรัฐบาลสมัคร/สมชาย

  • ปชป. ได้จัดตั้งรัฐบาล โดยมี “งูเห่า” จากพลังประชาชนย้ายมา → ถูกวิจารณ์ว่า ฉวยโอกาสจากม็อบนอกสภา

2556–2557 – กปปส. และรัฐประหารประยุทธ์

  • สุเทพ เทือกสุบรรณ (อดีตเลขาฯ ปชป.) ลาออกมานำ กปปส. ล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์

  • แกนนำ ปชป. จำนวนมากขึ้นเวที กปปส. (อภิสิทธิ์, อิสสระ ฯลฯ) → ชัดเจนว่าพรรค “เกาะขบวนการล้มเลือกตั้ง”

  • ผลคือรัฐประหาร 22 พ.ค. 2557 ของ คสช. → ปชป. ถูกตราว่า กวักมือเรียกรัฐประหาร

หลัง 2557 – อยู่ใต้ คสช.

  • พรรคไม่คัดค้านรัฐประหาร แถมบางคนทำงานร่วมกับรัฐบาล คสช. (เช่น องอาจ คล้ามไพบูลย์, อภิสิทธิ์ ใช้ท่าที “เลือกทางประชาธิปไตย” แต่ไม่ลงถนนต้าน)

  • ถูกวิจารณ์ว่า “ทำปากดี แต่จริง ๆ อยู่สบายใต้เผด็จการ”

2562 – รัฐบาลประยุทธ์

  • ตอนหาเสียง อภิสิทธิ์เคยประกาศ “ไม่เอาประยุทธ์”

  • แต่หลังเลือกตั้ง พรรคกลับเข้าร่วมรัฐบาลประยุทธ์ (อุตตม–สมคิดถูกเขี่ยออก เปิดทางให้ ปชป.ได้เก้าอี้เกษตร/พาณิชย์)

  • ถูกโจมตีว่าพรรค “กลับคำ เอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้คนอื่น”


สรุปภาพรวม

  1. ตลอดเส้นทาง 2489–ปัจจุบัน ปชป.มักอยู่ฝ่ายที่ “ได้ประโยชน์” จากการรัฐประหาร หรือบรรยากาศที่ล้มรัฐบาลเลือกตั้ง

  2. เวลารัฐประหารผ่านไป พรรคมักสร้างภาพว่า “เราเป็นฝ่ายประชาธิปไตย” (เช่น ตอนพฤษภา 35)

  3. คำวิจารณ์หลักคือ: “กวักมือเรียกทหาร แล้วเอาดีใส่ตัว” ซึ่งทำให้ฐานเสียงของพรรคค่อย ๆ หดหาย จนปัจจุบันเหลือแค่กลุ่มอนุรักษ์นิยมดั้งเดิมในภาคใต้

วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2568

วิเคราะห์ครม.ใหม่ 19 กันยายน 2568 : รายชื่อรัฐมนตรี และวีรกรรมที่ถูกพูดถึง

เอกสารนี้อิงรายชื่อ "ครม.อนุทิน 1" ตามราชกิจจานุเบกษา 19 ก.ย. 2568 และข่าวหลักหลายสำนัก (ไทยรัฐ, มติชน, ประชาชาติ, Reuters, SpringNews, Hfocus)

เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2568 มีการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ นำโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล เรามาดูกันว่ามีใครบ้าง และแต่ละคนมีประเด็นหรือข้อครหาใดที่เคยเป็นข่าว


รายชื่อรัฐมนตรีว่าการและประเด็นที่เกี่ยวข้อง (พร้อมข่าวเพิ่มเติม)

1. อนุทิน ชาญวีรกูล — นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย

  • ถูกวิจารณ์อย่างหนักเรื่องการบริหารจัดการวัคซีนโควิด-19 โดยเฉพาะซิโนแวค และคำพูด “ไม่ฉีดไฟเซอร์ให้หมอ”

  • ข่าวร้องเรียนว่าใช้ถนนสาธารณะเป็นรันเวย์สำหรับอากาศยาน แต่ศาล รธน.ไม่รับคำร้อง

  • มีข้อกล่าวหาพรรคภูมิใจไทยพัวพัน “ฮั้ว ส.ว.” แม้เจ้าตัวปฏิเสธ

  • ป.ป.ช. เปิดเผยทรัพย์สินเมื่อพ้นตำแหน่งรัฐบาลก่อน พบเกือบ 4,000 ล้านบาท

2. พิพัฒน์ รัชกิจประการ — รมว.คมนาคม

  • ถูกตรวจสอบทรัพย์สินมูลค่าสูงจาก ป.ป.ช. แม้ไม่ถึงที่สุด

  • ครอบครัวทำธุรกิจท่องเที่ยว จึงถูกจับตาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน

  • มีกรณีตรวจสอบการซื้อตึก SKYY9 โดยสำนักงานประกันสังคม (ประมาณ 7,000 ล้านบาท)

  • ปลัดแรงงานในยุคเขาถูกสอบสวนข้อกล่าวหาเรื่องการบริหาร สปส.

  • เคยสั่งชุดเฉพาะกิจตรวจจับแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย

3. ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า — รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.เกษตรและสหกรณ์

  • คดียาเสพติดออสเตรเลีย ถูกจำคุกและส่งกลับไทย

  • ถูกล้อจากคำพูด “มันคือแป้ง”

  • ข้อสงสัยเรื่องปริญญาเอกปลอม

  • ข่าวเชื่อมโยงธุรกิจสลากและเครือข่ายการเมืองท้องถิ่น

4. สุชาติ ชมกลิ่น — รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

  • ถูกวิจารณ์ว่าขาดผลงานสมัยเป็น รมว.แรงงาน

  • ข่าวโยงกลุ่มทุนและธุรกิจท้องถิ่นพัทยา

5. พล.อ. ณัฐพล นาคพาณิชย์ — รมว.กลาโหม

  • เคยมีบทบาทใน คสช. และการรัฐประหาร 2557

  • ถูกวิจารณ์เรื่องความเป็นกลางทางการเมือง

6. อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ — รมว.พลังงาน

  • อดีต CEO ปตท. ถูกตั้งคำถามเรื่องโปร่งใสโครงการใหญ่

  • มีประวัติเป็นกรรมการ KBANK และ CPAXT ก่อนลาออกเพื่อเลี่ยงผลประโยชน์ทับซ้อน

  • ถูกจับตาว่าเป็นคนนอกที่ถูกดึงเข้ามาบริหารด้านพลังงาน

7. ศุภจี สุธรรมพันธุ์ — รมว.พาณิชย์

  • เคยถูกวิจารณ์ช่วงบริหารเครือดุสิตธานี ผลประกอบการไม่ดี

  • แต่ไม่พบข่าวอื้อฉาวใหญ่โต

8. สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว — รมว.การต่างประเทศ

  • อดีตปลัดกระทรวง เคยถูกมองว่าใกล้ชิดกลุ่มอำนาจเก่า

  • ไม่พบคดีเสียหายสำคัญ

9. อรรถกร ศิริลัทธยากร — รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา

  • ข่าวพัวพันการเมืองท้องถิ่นในอีสาน

  • ยังไม่มีคดีร้ายแรง

10. อัครา พรหมเผ่า — รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

  • น้องชายธรรมนัส ถูกจับตาเรื่องเครือญาติ

  • มีข่าวพัวพันการเมืองท้องถิ่น

11. สุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล — รมว.อว.

  • ข่าวข้อพิพาทผลประโยชน์ท้องถิ่นในอีสาน

  • ยังไม่มีคดีใหญ่

12. นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ — รมว.ศึกษาธิการ

  • โฆษกรัฐบาลสมัยประยุทธ์ ถูกวิจารณ์ว่าแก้ต่างจนเกินจริง

  • ข่าวข้อสงสัยทรัพย์สินครอบครัว

13. พัฒนา พร้อมพัฒน์ — รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข

  • ถูกวิจารณ์ว่าพัวพันทุนการเมืองท้องถิ่น

  • มีชื่อในข้อครหาการจัดซื้อจัดจ้าง แม้ไม่ถึงศาล

14. ธนกร วังบุญคงชนะ — รมว.อุตสาหกรรม

  • อดีตโฆษกรัฐบาล วิจารณ์ว่าแก้ต่างมากกว่าทำงาน

  • เคยถูกตั้งคำถามเรื่องคุณสมบัติ

15. ตรีนุช เทียนทอง — รมว.แรงงาน

  • สมัยเป็น รมว.ศึกษาธิการ ถูกวิจารณ์ว่าไร้ผลงานชัดเจน

  • ครอบครัวในสระแก้วถูกตั้งข้อสงสัยเรื่องผลประโยชน์การเมือง

16. ซาบีดา ไทยเศรษฐ์ — รมว.วัฒนธรรม

  • มาจากตระกูลการเมืองใหญ่

  • มีข่าวโยงเครือญาติในหลายพรรค แต่ยังไม่มีคดี

17. ไชยชนก ชิดชอบ — รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

  • ตระกูลการเมืองบุรีรัมย์ ถูกวิจารณ์ว่าได้อำนาจเพราะบ้านใหญ่

  • ข่าวโยงการผูกขาดการเมืองท้องถิ่น

18. พล.ต.ท. รุทธพล เนาวรัตน์ — รมว.ยุติธรรม

  • อดีตรอง ผบ.ตร. เคยถูกตรวจสอบบางคดี แต่ไม่ถูกตัดสินผิด

  • ข่าวเชื่อมโยงการเมืองสมัยรับราชการ

19. เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส — รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง

  • อดีตอธิบดีกรมสรรพากร ถูกจับตาเรื่องการปฏิรูปภาษี

  • ยังไม่พบคดีอื้อฉาวถึงที่สุด แต่มีแรงเสียดทานเชิงนโยบายสูง


ข่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับโผ ครม.

  • มีรายงานว่า รายชื่อ ครม. มีบางคนที่ถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดทุจริต (ปี 2565) เรื่องการใช้งบประมาณ แต่ยังไม่เปิดชื่อแน่ชัด

  • พรรคประชาชนประกาศว่าพร้อมเปิดเอกสารลับจาก ป.ป.ช. เพื่อชี้ว่ามีบุคคลใน ครม. ใหม่ที่เคยถูกชี้มูลทุจริต

  • มีข่าวลือว่าบางชื่ออาจถูกตรวจสอบคุณสมบัติซ้ำ แม้ประกาศในราชกิจจาฯ แล้ว


สรุปภาพรวม

  • คนที่มีประเด็นอื้อฉาวหนักที่สุด: ธรรมนัส พรหมเผ่า (คดียา, ปริญญาเอก)

  • กลุ่มที่ถูกวิจารณ์เชิงผลประโยชน์และความโปร่งใส: อนุทิน, สุชาติ, อรรถพล, ไชยชนก, พัฒนา, พิพัฒน์

  • กลุ่มที่ข่าวอื้อฉาวยังเบาบาง: ศุภจี, สีหศักดิ์, ซาบีดา

วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2568

ค่าไฟฟ้าไทย: ถ้าไม่ขึ้นรายได้ ค่าไฟควรเป็นเท่าไหร่?

สืบเนื่องจาก blog ก่อนหน้า เรื่องค่าไฟ เทียบกับรายได้

ค่าไฟฟ้ากับค่าครองชีพ: คนไทยจ่ายแพงหรือถูก เมื่อเทียบกับโลก?

บทนำ

ทุกครั้งที่สังคมถกเถียงกันเรื่องค่าไฟ คำถามหนึ่งที่ตามมาคือ “จริง ๆ แล้วค่าไฟไทยแพงหรือถูก?” หลายคนอาจจะอ้างว่าเมื่อดูตัวเลขเปล่า ๆ แล้ว ไทยยังจ่ายค่าไฟถูกกว่ายุโรปหรืออเมริกา แต่ในอีกมุมหนึ่ง ถ้ามองลึกลงไปถึงกำลังซื้อและรายได้เฉลี่ยต่อหัว เราอาจจะพบว่าคนไทยกำลังเผชิญภาระค่าไฟที่สูงกว่าที่ควรจะเป็น การเปรียบเทียบที่แท้จริงจึงไม่ใช่แค่การมองที่ “ราคาไฟต่อหน่วย” แต่ต้องพิจารณาว่า คนไทยต้องทำงานกี่นาทีเพื่อจ่ายค่าไฟ 1 หน่วย (1 kWh) และถ้าใช้มาตรฐานประเทศพัฒนาแล้วหรือประเทศเอเชียรายได้สูงเป็นเกณฑ์ เราจะเห็นว่าค่าไฟไทย “ควรจะเป็น” เท่าไหร่ เพื่อให้สอดคล้องกับรายได้และค่าครองชีพจริง ๆ


ค่าไฟปัจจุบันในไทย

  • ค่าไฟเฉลี่ยไทย: 3.98 บาท/หน่วย (รอบ ก.ย.–ธ.ค. 2568 มี Ft ใหม่ ทำให้ราคารวมอยู่ราว 3.94–3.95 บ./หน่วย)

  • รายได้เฉลี่ย: 15,738 บาท/เดือน หรือราว 2.63 ดอลลาร์/ชม. (อิงจากการทำงาน 173 ชม./เดือน)

  • เวลาในการทำงานเพื่อจ่ายไฟ 1 หน่วย: ≈ 2.63 นาที (ที่ 3.98 บ./หน่วย); หรือ ≈ 2.61 นาที (ที่ 3.95 บ./หน่วย)

เมื่อนำตัวเลขนี้ไปเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วที่ใช้เวลาเพียง 0.3–0.9 นาทีต่อหน่วย จะเห็นว่าคนไทยต้องทุ่มเวลาในการทำงานมากกว่าหลายเท่าเพื่อจ่ายไฟฟ้าในปริมาณเดียวกัน


เวอร์ชันที่ 1: เทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว (G7/OECD)

ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐฯ แคนาดา เยอรมนี อังกฤษ ฝรั่งเศส หรือออสเตรเลีย เวลาที่ต้องใช้ในการทำงานเพื่อจ่ายค่าไฟเฉลี่ยอยู่ที่ ≈ 0.55 นาทีต่อหน่วย เท่านั้น (อิงค่าเฉลี่ยจากชุดประเทศตัวอย่าง: สหรัฐฯ, แคนาดา, ออสเตรเลีย, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, อังกฤษ) เมื่อเทียบกับไทยที่ 2.9 นาที จะเห็นความเหลื่อมล้ำชัดเจน

  • ถ้าคนไทยควรจ่ายในสัดส่วนเดียวกัน: ค่าไฟไทยควรอยู่ที่ ≈ 0.83 บาท/หน่วย

  • เทียบกับปัจจุบันที่ 3.98 บาท: ไทยจ่ายแพงเกินไป ≈ +377%

  • กล่าวอีกแบบ ค่าไฟไทยควร “ถูกลง ≈79%” เพื่อให้สมดุลกับรายได้แบบประเทศพัฒนาแล้ว


เวอร์ชันที่ 2: เทียบกับเอเชียรายได้สูง (ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, สิงคโปร์)

หากเปรียบเทียบกับประเทศเอเชียที่ค่าครองชีพสูงและมีรายได้เฉลี่ยสูง ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ จะพบว่าค่าเฉลี่ยเวลาทำงานต่อไฟ 1 หน่วยอยู่ที่ ≈ 0.70 นาที ซึ่งยังต่ำกว่าของไทยเกือบ 4 เท่า

  • ถ้าคนไทยควรจ่ายในสัดส่วนเดียวกัน: ค่าไฟไทยควรอยู่ที่ ≈ 1.06 บาท/หน่วย

  • เทียบกับปัจจุบันที่ 3.98 บาท: ไทยจ่ายแพงเกินไป ≈ +275%

  • หรือพูดได้ว่า ค่าไฟไทยควร “ถูกลง ≈73%” เพื่อให้ใกล้เคียงกับมาตรฐานของภูมิภาค


มุมมองที่ได้จากการเปรียบเทียบ

จากการคำนวณทั้งสองเวอร์ชัน จะเห็นได้ว่าค่าไฟไทยในปัจจุบัน ไม่แพงในเชิงราคาป้าย เพราะต่ำกว่ายุโรปและอเมริกา แต่เมื่อเทียบกับรายได้จริง คนไทยกลับต้องเสียเวลาและแรงงานมากกว่าหลายเท่า นี่คือการสะท้อนว่า ค่าแรงและรายได้ของไทยยังอยู่ในระดับที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับค่าครองชีพและประเทศเพื่อนบ้าน

ค่าไฟที่ “ควรจะเป็น” หากเทียบกับมาตรฐานโลก ควรอยู่เพียง ≈ 0.83–1.06 บาท/หน่วย เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าปัจจุบันถึง 3–5 เท่า ความจริงข้อนี้ชี้ว่า ปัญหาที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ค่าไฟแพงเกินไป แต่คือรายได้ไทยที่ต่ำเกินไป ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายพื้นฐานอย่างพลังงานกลายเป็นภาระหนัก


ข้อสรุป

แม้เราจะเห็นข่าวบ่อย ๆ ว่าประเทศไทยมีค่าไฟที่ถูกกว่ายุโรปหรืออเมริกา แต่ถ้ามองในแง่ “กำลังซื้อ” คนไทยกำลังจ่ายค่าไฟที่หนักกว่ามาตรฐานโลก 3–5 เท่า การแก้ไขปัญหาในระยะยาวจึงไม่ใช่การบังคับให้ค่าไฟถูกลงอย่างเดียว เพราะนั่นอาจบิดเบือนต้นทุนที่แท้จริงของพลังงานและระบบไฟฟ้า แต่สิ่งสำคัญกว่าคือ การยกระดับรายได้และผลิตภาพแรงงาน ให้สูงขึ้น เพื่อให้สมดุลกับค่าครองชีพและต้นทุนจริงของการใช้ชีวิต

กล่าวให้เข้าใจง่าย ๆ: ถ้ารายได้ไทยไม่ขยับขึ้น ค่าไฟที่สะท้อนความเป็นจริงควรอยู่ราว 0.75–1.02 บาท/หน่วย ไม่ใช่เกือบ 4 บาทอย่างทุกวันนี้ นั่นหมายความว่า ปัญหาหลักไม่ใช่ตัวเลขค่าไฟในบิล แต่คือ โครงสร้างรายได้ของคนไทยที่ยังไม่สอดคล้องกับมาตรฐานโลก.

วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2568

การประท้วง 'Unite the Kingdom': จุดเดือดของปัญหาผู้อพยพและเสรีภาพในการพูดในอังกฤษ

วันนี้เราจะมาพูดถึงเหตุการณ์ที่กำลังเป็นประเด็นร้อนในสหราชอาณาจักร นั่นคือการประท้วงครั้งใหญ่ชื่อว่า "Unite the Kingdom" ที่เกิดขึ้นในกรุงลอนดอนเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2025 การชุมนุมนี้ไม่ใช่แค่การเดินขบวนธรรมดา แต่เป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความแตกแยกทางสังคม การเมือง และวัฒนธรรมที่สะสมมานานในอังกฤษ บล็อกนี้จะนำเสนอที่มาที่ไป สิ่งที่เกิดขึ้น สาเหตุ และผลกระทบอย่างรอบด้าน เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจภาพรวมของสถานการณ์ โดยอ้างอิงข้อมูลจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ


บทนำ: เหตุการณ์ที่จุดประกายความขัดแย้ง

วันที่ 13 กันยายน 2025 เป็นการชุมนุมครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งของอังกฤษในยุคปัจจุบัน ผู้คนจำนวนมากเดินทางมารวมตัวกันในใจกลางกรุงลอนดอน เพื่อเรียกร้องให้ "รวมชาติ" (Unite the Kingdom) การประท้วงนี้จัดโดย Tommy Robinson (ชื่อจริง Stephen Yaxley-Lennon) นักกิจกรรมขวาจัดที่ต่อต้านการตรวจคนเข้าเมืองและอิสลามอย่างเปิดเผย

ตำรวจเมโทรโพลิแทน (Met Police) ประเมินผู้เข้าร่วมราว 110,000–150,000 คน ซึ่งถือว่าใหญ่โตมากสำหรับการชุมนุมแนวขวาจัด แต่ไม่ถึง “ล้านคน” ตามที่บางกระแสโซเชียลมีเดียอ้าง การชุมนุมเริ่มต้นอย่างสงบ แต่จบลงด้วยความรุนแรง ตำรวจบาดเจ็บ 26 นาย (4 นายบาดเจ็บสาหัส เช่น ฟันหัก จมูกหัก) และมีการจับกุม 25–140 คน โดยส่วนใหญ่ถูกตั้งข้อหาความรุนแรงและครอบครองอาวุธ ขณะเดียวกันมีกลุ่ม Stand Up to Racism ราว 5,000 คนออกมาเคาน์เตอร์โปรเทสต์ ต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติและฟาสซิสต์


ที่มาที่ไป: ปัญหาที่สะสมมานาน

  1. การอพยพผิดกฎหมายและสวัสดิการสังคม
    ปี 2024–2025 มีผู้อพยพผิดกฎหมายและผู้ลี้ภัยเกือบ 111,000 คน ข้ามช่องแคบอังกฤษด้วยเรือเล็ก ส่วนใหญ่มาจากตะวันออกกลาง แอฟริกา และเอเชียใต้ รัฐบาลต้องใช้งบประมาณราว £4.7 พันล้านต่อปี เพื่อจัดหาที่พักโรงแรม อาหาร และเงินช่วยเหลือรายสัปดาห์ แม้จะคิดเป็นเพียง 0.3–0.5% ของงบรัฐบาล แต่ถูกมองว่าเป็นภาระหนักในช่วงเศรษฐกิจฝืดเคือง

  2. Brexit และความคาดหวังที่ไม่เป็นจริง
    การโหวต Brexit ปี 2016 เคยถูกขายว่าเป็นการ "คืนการควบคุมชายแดน" แต่เกือบสิบปีผ่านไป ปัญหาผู้อพยพยังไม่ถูกแก้ ทำให้ความไม่พอใจยิ่งสะสม

  3. นโยบายพรรคแรงงานและ Islamophobia
    พรรคแรงงานชนะเลือกตั้งปี 2024 และสัญญาจะจัดการ backlog ผู้ลี้ภัย 90,000 ราย รวมถึงยกเลิกแผนส่งผู้ลี้ภัยไปรวันดา ขณะเดียวกัน นโยบายภายในพรรคเกี่ยวกับการต่อต้าน Islamophobia ถูกฝ่ายขวาตีความว่าเป็นการ “ปิดปาก” วิจารณ์ศาสนา

  4. อาชญากรรมและกรณีตัวอย่าง
    เหตุอาชญากรรมที่โยงกับผู้อพยพ เช่น คดีข่มขืนโดยผู้ขอลี้ภัยในฤดูร้อน 2025 ถูกหยิบมาเป็นสัญลักษณ์ แม้สถิติของ Home Office ชี้ว่าผู้อพยพไม่ได้ก่ออาชญากรรมมากกว่าคนอังกฤษโดยเฉลี่ย แต่ภาพจำบางคดีได้ถูกใช้ปลุกกระแส

  5. เสรีภาพในการพูด vs Hate Speech
    อังกฤษมีกฎหมายควบคุมคำพูดที่ยุยงให้เกิดความเกลียดชัง (Public Order Act 1986 / Racial and Religious Hatred Act 2006) แต่เส้นแบ่งกับการวิจารณ์ปกติไม่ชัดเจน ทำให้ผู้คนกลัวว่าจะถูก “ปิดปาก” เมื่อพูดถึงประเด็นอิสลาม


สิ่งที่เกิดขึ้นในวันประท้วง

  • ขบวนเริ่มจาก Stamford Street ใกล้สะพานวอเตอร์ลู ไปถึง Whitehall

  • ผู้เข้าร่วมมีทั้งคนผิวขาว ดำ เอเชีย ละติน และตะวันออกกลาง ถือธงชาติอังกฤษและป้ายต่อต้าน “Islamophobia law”

  • ผู้ปราศรัยมีทั้งในอังกฤษและต่างประเทศ เช่น วิดีโอของ Elon Musk (เรียกสภาว่า “clown world”), Jordan Peterson นักจิตวิทยาแคนาดา, Éric Zemmour นักการเมืองขวาจัดฝรั่งเศส และ Petr Bystron จาก AfD เยอรมนี

  • เหตุการณ์บานปลายเมื่อผู้ชุมนุมบางส่วนพยายามฝ่าแนวกั้น ปะทะกับตำรวจและ counter-protest มีการขว้างปาขวดและพลุ


มุมมองรอบด้าน

  • รัฐบาล: นายกฯ Keir Starmer ประณามความรุนแรงและการเหยียดเชื้อชาติ แต่ย้ำว่าการประท้วงโดยสันติเป็นสิทธิ์ในสังคมประชาธิปไตย

  • สื่อ: BBC, Reuters, NPR และ Al Jazeera เรียกการชุมนุมว่า "far-right rally" ทำให้ผู้สนับสนุนกล่าวหาว่าสื่อบิดเบือน ขณะที่ GB News นำเสนอเชิงเห็นใจมากกว่า

  • ฝ่ายต่อต้านการเหยียด: กลุ่ม Stand Up to Racism เห็นว่าการชุมนุมสะท้อนอันตรายของการเหมารวมผู้อพยพและมุสลิม

  • มุสลิมและผู้อพยพ: หลายเสียงย้ำว่าไม่ใช่ทุกคนก่อปัญหา ผู้ลี้ภัยตัวจริงผ่านการคัดกรองเข้มงวดและมีส่วนช่วยสังคม

  • ประชาชนทั่วไป: เหตุการณ์นี้สะท้อนความกังวลร่วมกันในยุโรป เช่น เยอรมนี ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ ที่เจอแรงกดดันด้านผู้อพยพเช่นเดียวกัน


ผลกระทบและความหมาย

  • แรงกดดันเชิงนโยบาย: รัฐบาลอาจถูกบีบให้เข้มงวดขึ้น เช่น ส่งตัวผู้ยื่นลี้ภัยจาก “ประเทศปลอดภัย” กลับ หรือเลิกใช้โรงแรมเลี้ยงผู้อพยพ

  • การเมืองอังกฤษ: การประท้วงตอกย้ำการกลับมาของขบวนการฝ่ายขวา และอาจถูกใช้เป็นฐานเสียงในการเลือกตั้งครั้งต่อไป

  • สังคมที่แตกแยก: ความขัดแย้งระหว่าง “free speech” กับ “hate speech” ยังคงเป็นโจทย์ใหญ่ ว่าจะรักษาสมดุลได้อย่างไร


สรุป

การประท้วง Unite the Kingdom ไม่ใช่แค่การเดินขบวนเรื่องผู้อพยพ แต่เป็นกระจกสะท้อนวิกฤตตัวตนของอังกฤษ: ระหว่างความเป็นสังคมเปิดกับความมั่นคง ระหว่างเสรีภาพกับการควบคุมความเกลียดชัง และระหว่างการเมืองฝ่ายซ้ายกับฝ่ายขวาที่ห่างเหินกันมากขึ้น

สิ่งที่เกิดขึ้นบอกเราว่า ปัญหาผู้อพยพเป็นชนวนหลัก แต่ความไม่พอใจต่อรัฐบาลและความกังวลเรื่องเสรีภาพในการพูดคือเชื้อเพลิงที่ทำให้ไฟลุกโชน จนกลายเป็นการประท้วงครั้งใหญ่ที่ทั้งอังกฤษและโลกต้องจับตามอง

วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2568

ทำไมเราถึงชอบไอดอลวัยรุ่นเด็กๆ แนวญี่ปุ่น (และใกล้เคียง)

เวลาที่เราดูคลิปการแสดงสด หรือ MV ของไอดอลญี่ปุ่นน่ารัก ๆ หลายคนอาจรู้สึกว่ามีความสุขอย่างบอกไม่ถูก ความสุขที่เกิดขึ้นนั้นใกล้เคียงกับเวลาที่เราเห็นลูกหมาหรือลูกสัตว์ตัวเล็ก ๆ ที่น่ารักจนอดยิ้มไม่ได้ คำถามคือ ทำไมปรากฏการณ์นี้ถึงเกิดขึ้น? ทั้ง ๆ ที่สิ่งที่เราเห็นนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่สมองและหัวใจกลับตอบสนองคล้ายกัน บทความนี้จะพาไปเจาะลึกทั้งด้านชีววิทยา จิตวิทยา สังคมวิทยา รวมถึงมานุษยวิทยาและเศรษฐศาสตร์วัฒนธรรม เพื่ออธิบายว่าทำไมไอดอลวัยรุ่นญี่ปุ่นถึงสามารถทำให้เรารู้สึกอบอุ่นและฟินได้พอ ๆ กับสัตว์เลี้ยงสุดน่ารัก


🧠 มุมชีววิทยาและประสาทวิทยา: สมองเมื่อเจอ “ความน่ารัก”

สมองของมนุษย์ไม่ได้เพียงรับภาพแล้วจบ แต่จะตีความผ่านเครือข่ายระบบประสาทที่เกี่ยวพันกับความสุขและการอยู่รอด:

  • Reward System (Nucleus Accumbens + VTA)
    เมื่อเห็นไอดอลสดใส ระบบรางวัลของสมองจะปล่อย dopamine ทำให้รู้สึกมีความสุข คล้ายเวลาที่เราได้รับอาหารอร่อย ๆ หรือเสียงหัวเราะจากเพื่อน

  • Amygdala
    ส่วนนี้มักทำงานกับความกลัว แต่เมื่อเจอสิ่งที่ดูปลอดภัยและอ่อนโยน เช่น ไอดอลที่ยิ้มหวาน → amygdala จะลดการเตือนภัย ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย

  • Prefrontal Cortex
    สมองส่วนหน้าช่วย “ตีตรา” ความรู้สึกว่า นี่คือสิ่งที่ดีและน่าไว้ใจ → เปิดทางให้วงจรความสุขทำงานแบบเต็มกำลัง

  • Oxytocin และ Endorphin
    ในบรรยากาศคอนเสิร์ต การได้อยู่ท่ามกลางฝูงชนที่ส่งเสียงเชียร์ร่วมกัน สมองจะหลั่ง oxytocin (ฮอร์โมนความผูกพัน) และ endorphin (สารแห่งความสุข) เพิ่มเข้าไปอีกชั้น

กล่าวได้ว่า ความสุขจากการดูไอดอลคือการรวมตัวกันของกลไกชีววิทยาที่มนุษย์ใช้เพื่อเสริมสร้างความปลอดภัย ความสัมพันธ์ และแรงจูงใจ


👶 มุมจิตวิทยา: Baby Schema และความรู้สึกอยากดูแล

นักจิตวิทยา Konrad Lorenz เคยอธิบายแนวคิด “Kindchenschema” หรือ Baby Schema ว่า ลักษณะทางกายภาพบางอย่าง เช่น ตาโต หัวเล็ก หน้าใส เสียงสูงใส จะกระตุ้นสัญชาตญาณการดูแลปกป้องโดยอัตโนมัติ

  • ลูกหมา: ตาโต หูยาว ขนฟู → สมองสั่งว่า “น่าปกป้อง”

  • ไอดอลญี่ปุ่น: หน้าเล็ก ตาโต เสียงสดใส บุคลิกน่าทะนุถนอม → สมองใช้วงจรเดียวกัน

นี่คือเหตุผลที่เมื่อเห็นไอดอลวัยรุ่นทำท่าทางน่ารัก เราจะยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ความรู้สึกนี้ไม่ได้มาจากเหตุผลเชิงตรรกะ แต่จากการทำงานเชิงอัตโนมัติของสมอง


🎭 มุมสังคมวิทยา: ไอดอลในฐานะวัฒนธรรมและความสัมพันธ์

ปรากฏการณ์ไอดอลไม่ได้หยุดอยู่แค่ความน่ารัก แต่ยังสะท้อนโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรมด้วย:

  • Parasocial Relationship
    การติดตามไอดอลผ่านสื่อทำให้เกิด “ความสัมพันธ์จำลอง” เรารู้สึกสนิทใจ ทั้งที่จริง ๆ ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์ตรง ความผูกพันนี้เสริมสร้างความสุขและทำให้แฟนรู้สึกว่าตนเองมีที่ยืนในสังคมเล็ก ๆ

  • Collective Joy
    คอนเสิร์ตหรือแฟนมีตคือพื้นที่ที่แฟน ๆ หลายพันคนสร้างความสุขพร้อมกัน เสียงกรี๊ดและเพนไลท์กลายเป็นเครื่องมือเชื่อมโยงทางสังคม → ทำให้เกิดการปล่อยสารแห่งความสุขแบบหมู่คณะ

  • Cultural Coding ของ “คาวาอี้”
    ญี่ปุ่นสร้างความหมายให้กับ “คาวาอี้ (可愛い)” มากกว่าคำว่าน่ารัก มันคือความอ่อนโยน ความไร้เดียงสา และความปลอดภัย การบริโภควัฒนธรรมไอดอลจึงเท่ากับการเสพ “พื้นที่ปลอดภัยเชิงสัญลักษณ์” ที่ทำให้เราคลายความเครียดจากโลกภายนอก


🌏 มุมมานุษยวิทยาและเศรษฐศาสตร์วัฒนธรรม: ไอดอลในฐานะสินค้า

ไอดอลไม่ได้เป็นเพียงปรากฏการณ์ความบันเทิง แต่ยังสะท้อน การจัดระบบทางเศรษฐกิจและสังคม ที่ตั้งใจผลิตและขาย “ความน่ารัก” เป็นสินค้า อุตสาหกรรมไอดอลญี่ปุ่นถูกสร้างขึ้นอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การคัดเลือกเด็กฝึก การสร้างภาพลักษณ์ที่ตอบโจทย์ baby schema การจัดการด้านสื่อ ไปจนถึงการตลาดเชิงอารมณ์ที่ทำให้แฟน ๆ รู้สึกมีส่วนร่วมและอยากสนับสนุนต่อเนื่อง

  • ไอดอล = ผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมที่ออกแบบเพื่อสร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจ

  • แฟนคลับ = ผู้บริโภคที่ไม่ได้เพียงซื้อเพลง แต่ยังลงทุนทางอารมณ์ ซื้อสินค้าพ่วง บัตรจับมือ หรือการโหวตในงานประกวด

  • บริษัท = ผู้จัดการระบบที่แปลง “ความน่ารัก” ให้กลายเป็นมูลค่าเชิงพาณิชย์และเชิงสังคม

สิ่งเหล่านี้ทำให้โลกของไอดอลไม่ได้เป็นเพียงความเพลิดเพลิน แต่ยังเป็น ระบบเศรษฐกิจเชิงวัฒนธรรม ที่มีผลต่อทั้งตัวศิลปินและผู้บริโภค


🐶 vs 🎤 ลูกหมา กับ ไอดอลญี่ปุ่น: ความสุขที่ทับซ้อนและแตกต่าง

สิ่งที่เหมือนกัน:

  • ทั้งสองอย่างกระตุ้น dopamine และสร้างความสุขผ่าน reward system

  • ทั้งคู่เข้ากับ instinct การปกป้องจาก baby schema

  • ทั้งลูกหมาและไอดอลต่างทำให้ใจสงบและลดความเครียด

ลูกหมา:

  • สร้างความสุขจากการสัมผัสตรง กอด เล่น ลูบหัว

  • ความรักที่บริสุทธิ์ ไม่ปรุงแต่ง ไม่มีเงื่อนไข

  • ความสัมพันธ์เชิงกายภาพที่จริงแท้

ไอดอลญี่ปุ่น:

  • ความสุขที่ถูกออกแบบผ่านดนตรี ศิลปะ และการตลาด

  • ความสัมพันธ์ที่เป็น parasocial ไม่ได้สัมผัสตรงแต่รู้สึกใกล้ชิด

  • เสริมด้วย collective joy และวัฒนธรรมคาวาอี้

  • เชื่อมโยงกับระบบเศรษฐกิจวัฒนธรรมที่ผลิตและจำหน่ายความน่ารัก

สรุปคือ ลูกหมาให้ “ความสุขตามธรรมชาติ” ส่วนไอดอลญี่ปุ่นให้ “ความสุขเชิงวัฒนธรรม เศรษฐกิจ และสังคม” แต่กลไกสมองที่ตอบสนองคือวงจรเดียวกัน


✨ บทสรุปเชิงปัญญาชน

การที่เราชื่นชอบไอดอลวัยรุ่นญี่ปุ่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์จาก ชีววิทยา จิตวิทยา สังคมวิทยา มานุษยวิทยา และเศรษฐศาสตร์วัฒนธรรม ที่มาบรรจบกัน สมองมนุษย์ถูกตั้งโปรแกรมให้รักความน่ารัก (biological imperative) จิตใจถูกขับเคลื่อนด้วยความรู้สึกอยากปกป้อง (psychological instinct) สังคมและวัฒนธรรมสร้างกรอบให้ความน่ารักกลายเป็น “ภาษาสังคม” (sociological coding) และระบบเศรษฐกิจทำให้ความน่ารักถูกแปลงเป็นสินค้า (cultural economy)

ดังนั้นเวลาที่คุณรู้สึกหัวใจพองโตเมื่อดูไอดอลญี่ปุ่น มันสะท้อนทั้งธรรมชาติของมนุษย์ โครงสร้างวัฒนธรรม และระบบเศรษฐกิจร่วมสมัย เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า ความน่ารักไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ แต่คือพลังที่ผูกโยงชีววิทยา จิตใจ สังคม และเศรษฐกิจเข้าด้วยกัน และนี่อาจเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้โลกของไอดอลยังคงสดใหม่ มีเสน่ห์ และมีอิทธิพลอย่างต่อเนื่องในระดับสากล

วันพุธที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2568

การประท้วงในเนปาล 2025: จากการแบนโซเชียลสู่การล่มสลายของรัฐบาล และบทเรียนเปรียบเทียบกับไทย

จุดเริ่มต้น: การแบนโซเชียลเป็นชนวน

กันยายน 2025 เนปาลต้องเผชิญกับการประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี เมื่อรัฐบาลประกาศแบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่คนส่วนใหญ่ใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น Facebook, WhatsApp, Instagram, TikTok หรือ YouTube โดยให้เหตุผลว่าเป็นมาตรการควบคุมข่าวลวงและการยุยงปลุกปั่น แต่ในมุมของประชาชน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ Gen Z การแบนเหล่านี้คือการ “ปิดปาก” และ “ยึดอาวุธทางวัฒนธรรมและการสื่อสาร” ของพวกเขาไปในทันที

ไม่กี่ชั่วโมงหลังประกาศแบน ถนนสายหลักในกาฐมาณฑุและเมืองใหญ่ต่าง ๆ เต็มไปด้วยผู้ชุมนุมนับหมื่น ความโกรธที่สะสมมานานจากปัญหาคอร์รัปชัน การเมืองที่ไม่มั่นคง เศรษฐกิจที่ติดหล่ม และโอกาสทางสังคมที่ไม่เท่าเทียม ถูกปลดปล่อยออกมาในคราวเดียว การชุมนุมจึงไม่ได้เป็นเพียงการต่อต้านการแบน แต่กลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านโครงสร้างเก่าที่ถูกมองว่าล้มเหลว


ความรุนแรงและการเสียชีวิต

ตำรวจและฝ่ายความมั่นคงตอบโต้ด้วยการใช้กำลังอย่างเข้มข้น ทั้งแก๊สน้ำตา กระสุนยาง และสุดท้ายคือกระสุนจริง เสียงปืนดังกลางเมืองหลวง ภาพผู้ชุมนุมล้มลงกับพื้นสร้างแรงสะเทือนใจให้คนทั้งประเทศ สื่อรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 19 ราย บาดเจ็บนับร้อย รัฐบาลถูกวิจารณ์อย่างหนักว่ากำลังผลักประเทศเข้าสู่เส้นทางสงครามกลางเมืองอีกครั้ง

แต่สิ่งที่ต่างจากหลายประเทศคือ เนปาลเลือก “หยุด” ก่อนที่เลือดจะไหลนองไปกว่านี้ เพียงไม่กี่วันหลังจากเหตุการณ์ นายกฯ K. P. Sharma Oli ประกาศลาออก รัฐบาลยกเลิกคำสั่งแบนโซเชียลมีเดีย และสัญญาว่าจะชดเชยครอบครัวผู้เสียชีวิต จัดการรักษาผู้บาดเจ็บโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย พร้อมตั้งคณะกรรมการสอบสวน การเลือกถอยนี้แม้ทำให้รัฐบาลสูญเสียอำนาจ แต่สามารถหยุดยั้งความสูญเสียไม่ให้ลุกลามเป็นหลักร้อยหรือพันศพได้


ปัจจัยลึก: วรรณะ ศาสนา และเศรษฐกิจ

การแบนโซเชียลอาจเป็นชนวน แต่เชื้อไฟที่ทำให้การประท้วงรุนแรงมีรากฐานจากโครงสร้างสังคมที่สั่งสมมานาน:

  • ระบบวรรณะ: แม้กฎหมายยกเลิกแล้ว แต่การแบ่งชนชั้นยังฝังลึกในสังคม ชนชั้นสูงอย่าง Brahmin–Chhetri ยังครองตำแหน่งสำคัญทางการเมือง ส่วนชนกลุ่มน้อยและ Dalit มักถูกกีดกันไม่ให้เข้าถึงโอกาส

  • ศาสนาและอัตลักษณ์: เนปาลเป็นรัฐฆราวาสตั้งแต่ปี 2008 แต่กว่า 80% ของประชากรเป็นฮินดู ความพยายามดึงประเทศกลับไปเป็นรัฐฮินดูจึงสร้างแรงต้านจากพุทธ มุสลิม และชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ

  • เศรษฐกิจที่เปราะบาง: คนหนุ่มสาวจำนวนมากว่างงาน ต้องเดินทางไปทำงานต่างประเทศ เงินโอนกลับบ้านคิดเป็นเกือบ 25% ของ GDP ประเทศถูกมองว่าไม่สามารถมอบอนาคตที่มั่นคงให้กับคนรุ่นใหม่ได้

เมื่อความไม่พอใจจากหลายด้านถูกรวมเข้าด้วยกัน การประกาศแบนโซเชียลจึงเป็นเหมือนการจุดไม้ขีดบนกองเชื้อเพลิงขนาดใหญ่


ทำไมเนปาลหยุดที่ 19 ศพ?

คำถามที่หลายคนสงสัยคือ เหตุใดการประท้วงที่ดุเดือดเช่นนี้จึงหยุดที่ผู้เสียชีวิต 19 ศพ ไม่บานปลายเหมือนในหลายประเทศ คำตอบคือ:

  1. รัฐบาลรีบถอย: นายกฯ ลาออก ยกเลิกแบน และประกาศมาตรการเยียวยาโดยเร็ว

  2. บทบาทกองทัพ: จากที่ตำรวจยิงตรง ๆ ช่วงแรก กองทัพถูกส่งลงมาเพื่อควบคุมเคอร์ฟิวและโชว์กำลัง แทนที่จะเดินหน้าปราบปรามต่อ

  3. กลยุทธ์ผู้ประท้วง: หลังเห็นการเสียชีวิต พวกเขาเปลี่ยนวิธีการสู่การจัดแฟลชม็อบและกดดันทางสัญลักษณ์แทนการปะทะตรง

  4. บทเรียนสงครามกลางเมือง: เนปาลเคยผ่านสงคราม Maoist 1996–2006 มีคนตายกว่าหมื่น รัฐและกองทัพจึงรู้ดีว่าหากเดินหน้าปราบแบบไม่ถอย ประเทศอาจกลับไปสู่วังวนเลือดอีกครั้ง


เปรียบเทียบกับไทย: บทเรียนจากปี 2553

หากเปรียบเทียบกับไทย ปี 2553 ที่การชุมนุมของ “คนเสื้อแดง” บริเวณราชประสงค์ เห็นได้ถึงความต่างอย่างชัดเจน:

  • รูปแบบการชุมนุม: เสื้อแดงปักหลักยืดเยื้อ มีเวที มีแนวป้องกัน รัฐมองว่าเป็นการยึดพื้นที่ ต้องเข้ายึดคืนด้วยกำลัง

  • การตอบโต้รัฐ: มีการประกาศ “พื้นที่กระสุนจริง” ใช้พลซุ่มยิง และปฏิบัติการทางทหารเต็มรูปแบบ → ผลคือมีผู้เสียชีวิตถึง 99 ศพ และบาดเจ็บอีกนับพัน

  • ท่าทีรัฐบาล: รัฐบาลขณะนั้นไม่ถอย แม้ถูกกดดันอย่างหนัก เชื่อว่าการรักษาอำนาจและความมั่นคงสำคัญกว่าการหยุดเลือด

  • ผลลัพธ์: ม็อบถูกสลาย แต่ความแตกแยกฝังลึก เกิดบาดแผลทางประวัติศาสตร์ และปูทางสู่รัฐประหารปี 2557

ตรงกันข้าม เนปาลเลือกถอยตั้งแต่ต้น ยอมเสียรัฐบาลเพื่อรักษาชีวิตคนไว้


ทำไมไทยไม่เหมือนเนปาล

หากวิเคราะห์ในเชิงโครงสร้าง จะพบว่าการตอบสนองของรัฐไทยและเนปาลแตกต่างกันอย่างชัดเจน แม้ทั้งสองประเทศต่างเผชิญแรงกดดันจากการประท้วงครั้งใหญ่ก็ตาม

  • โครงสร้างอำนาจไทยแข็งแรงและเชื่อมโยงแน่นแฟ้นกว่า: กองทัพ ชนชั้นนำ และศาล ทำงานสอดประสานกันอย่างมีประสิทธิภาพ รัฐบาลจึงมั่นใจว่าตนสามารถควบคุมสถานการณ์ได้โดยไม่จำเป็นต้องถอย และยังสามารถใช้เครื่องมือทางกฎหมายหรือกลไกอื่น ๆ สนับสนุนการดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง

  • การสร้างภาพและ framing ของรัฐ: การชุมนุมของคนเสื้อแดงถูกตีกรอบว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง โดยเฉพาะการกล่าวอ้างเรื่อง “ชายชุดดำ” หรือกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่แฝงตัวเข้ามา ทำให้การใช้กำลังรุนแรงมีความชอบธรรมในสายตาของผู้สนับสนุนรัฐบาลและชนชั้นกลางจำนวนหนึ่ง

  • ฐานทางสังคมและการเมืองที่ต่างกัน: ไทยในปี 2553 มีชนชั้นกลางและคนเมืองที่ยังยืนอยู่ฝั่งรัฐบาลจำนวนมาก จึงทำให้รัฐกล้าตัดสินใจใช้กำลัง ขณะที่ในเนปาล รัฐบาลอ่อนแรง ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก และขาดฐานสนับสนุนที่มั่นคง เมื่อความกดดันเพิ่มขึ้นจึงเลือกถอยเพื่อหลีกเลี่ยงการลุกลาม

กล่าวได้ว่า ไทยเลือก “สู้จนถึงที่สุด” เพราะมั่นใจว่าระบบอำนาจยังคงเหนียวแน่น ขณะที่เนปาลเลือก “ถอยเพื่อเอาชีวิตรอด” ของทั้งรัฐบาลและประชาชน เนื่องจากไม่มั่นใจในเสถียรภาพของตนเองและไม่ต้องการเสี่ยงให้ประเทศกลับเข้าสู่สงครามกลางเมือง


วันนี้: สีเสื้อจางหาย แต่บาดแผลยังคงอยู่

กว่าทศวรรษหลังเหตุการณ์ปี 2553 เรื่อง “แดง–เหลือง” ค่อย ๆ จางหายไปจากเวทีสาธารณะ กลายเป็นการเมืองยุคเก่าที่คนรุ่นใหม่ไม่รู้สึกอินหรือมีส่วนร่วมอีกต่อไป ประเด็นหลักในปัจจุบันขยับไปอยู่ที่ เสรีภาพ สิทธิประชาชน การปฏิรูปโครงสร้าง และปัญหาปากท้อง ขบวนการเยาวชนในไทยช่วงปี 2563 เป็นต้นมาใช้โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือหลักในการจัดตั้งและสื่อสาร เช่นเดียวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในเนปาลเมื่อปี 2025 สะท้อนว่าคนรุ่นใหม่ในทั้งสองประเทศต่างหันไปใช้รูปแบบการเคลื่อนไหวที่ทันสมัยและเชื่อมโยงกันข้ามพรมแดน

ในขณะที่ไทยยังเผชิญกับบาดแผลจากเหตุการณ์ 99 ศพ เนปาลเองก็มีบาดแผลใหม่จากผู้เสียชีวิต 19 ราย แม้จำนวนจะต่างกัน แต่ทั้งสองประเทศต่างต้องเผชิญกับคำถามเดียวกันว่า รัฐควรให้ความสำคัญกับ “การรักษาอำนาจ” หรือ “การปกป้องชีวิตประชาชน” มากกว่ากัน


บทเรียนร่วม

  • บทเรียนจากเนปาล: การถอยอาจทำให้รัฐบาลล่ม แต่สามารถรักษาชีวิตประชาชนไว้ได้ และช่วยป้องกันไม่ให้ประเทศตกสู่ความขัดแย้งรุนแรงเหมือนในอดีต

  • บทเรียนจากไทย: การเดินหน้าปราบปรามอย่างไม่ยอมถอย แม้อาจสร้างเสถียรภาพชั่วคราว แต่กลับทิ้งบาดแผลลึกในสังคม ทำให้เกิดวงจรแห่งความไม่ไว้วางใจ และเปิดทางให้รัฐประหารเกิดซ้ำ


สรุป

การประท้วงในเนปาลปี 2025 แสดงให้เห็นว่าชนวนเล็ก ๆ อย่างการแบนโซเชียลสามารถขยายกลายเป็นวิกฤตระดับชาติได้หากสังคมสะสมความไม่พอใจมานาน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาคอร์รัปชัน ความเหลื่อมล้ำ หรือการเมืองที่ไม่มั่นคง ความแตกต่างที่สำคัญคือ เนปาลเลือกที่จะหยุดความรุนแรง แม้ต้องแลกด้วยการล่มสลายของรัฐบาล ขณะที่ไทยในปี 2553 เลือกเดินหน้าปราบปรามจนเกิดการสูญเสียครั้งใหญ่

ทั้งสองกรณีนี้คือบทเรียนที่ยังสะท้อนมาจนถึงปัจจุบันว่า เมื่อรัฐเผชิญการประท้วงครั้งใหญ่ ระหว่าง การรักษาอำนาจ กับ การรักษาชีวิตประชาชน สิ่งที่รัฐเลือกจะไม่เพียงกำหนดชะตากรรมของรัฐบาลชุดนั้น แต่ยังส่งผลยาวไกลต่อทิศทางของประเทศในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า.

วันพุธที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2568

เกมการเมืองไทย: จากการเปลี่ยนตัวนายกฯ วันนี้ ถึงอนาคตที่อาจเกิดขึ้น

การเมืองไทยกำลังเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่ออีกครั้ง เมื่อเกิดกระแสเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี โดยชื่อที่ถูกผลักดันขึ้นมาและแทบจะกลายเป็นความจริงแล้วคือ “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย นักการเมืองที่ถูกวางตัวในฐานะผู้เล่นสำคัญของกระดานนี้มานาน

คำถามใหญ่คือ — ทำไมอนุทินถึงมั่นใจกล้าเดินเกมใหญ่? ทำไมถึงดูแน่ใจว่าจะไม่สะดุดแม้เพื่อไทยพยายามยื่นยุบสภา? และอนาคตที่เหลืออยู่ราว 2 ปีของรัฐบาลนี้จะเดินไปในทิศทางไหน? หากมองให้ลึกลงไป การเปลี่ยนตัวนายกฯครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการสลับเก้าอี้ แต่คือการปรับโครงสร้างอำนาจที่สะท้อนให้เห็นถึงรูปแบบการเมืองไทยที่แท้จริง


1. เรื่องโกหกที่คนเชื่อ และความจริงที่ถูกมองข้าม

ตลอดช่วงที่ผ่านมา มักมี narrative ที่ถูกผลิตซ้ำจนคนจำนวนไม่น้อยเข้าใจผิด เช่นว่า

  1. เพื่อไทยสามารถยุบสภาได้ → แต่ในความจริง อำนาจยุบสภาเป็นสิทธิของนายกรัฐมนตรีที่อยู่ในตำแหน่งเท่านั้น พรรคการเมืองไม่มีสิทธิยื่นเอง และถ้านายกฯถูกศาลสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ ก็หมดสิทธิทันที

  2. นายกฯใหม่จะอยู่ได้เพียง 4 เดือน → เป็นการตีความที่ลดทอนความจริง เพราะรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดระยะเวลาใด ๆ การยุบสภาขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของนายกฯฝ่ายเดียว จะยืดไปเป็นปีหรือมากกว่านั้นก็เป็นไปได้ หากยังคงรักษาฐานสนับสนุนได้

สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า คนจำนวนไม่น้อยคิดว่าตัวเองเข้าใจเกม แต่ความจริงกลับถูกครอบงำด้วยการเล่าเรื่องที่ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง


2. อนุทิน: การเดินเกมที่ไม่เสี่ยงเปล่า

อนุทินไม่ใช่คนที่ยอมเสี่ยงเดินหมากใหญ่โดยไม่มีหลักประกัน การเสนอตัวเป็นนายกฯครั้งนี้สะท้อนว่าเขามี สัญญาณสนับสนุนจากผู้คุมเกมหลังม่าน ที่เพียงพอให้มั่นใจว่าจะไม่ล้มกลางทาง เพราะหากถูกตัดเกมกลางคัน จะเท่ากับเสียทั้งทุน เสียหน้า และเสียเครือข่ายการเมืองที่สร้างมา

นี่คือเหตุผลว่าทำไมการปัดตกเรื่องยุบสภาจึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลของดีลที่ถูกออกแบบมาแล้ว เพื่อเปิดทางให้เขาขึ้นมาถือธงนำโดยไม่สะดุด


3. พรรคส้ม: ผู้แพ้ในเกมที่กติกาล็อก

แม้พรรคประชาชน (หรือพรรคส้ม) จะครองใจคนรุ่นใหม่และได้คะแนนเสียงมหาศาล แต่ก็เหมือนถูกขังอยู่ในกรงที่กติกาออกแบบไว้:

  • ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระสามารถใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือยุบหรือสกัดได้ทุกเมื่อ

  • ส.ว.ไม่เคยเปิดทางให้

  • อำนาจยุบสภาอยู่ในมือนายกฯ ไม่ใช่ในมือฝ่ายค้าน

ผลคือ คะแนนดิบมหาศาลไม่สามารถแปลงเป็นอำนาจจริงได้ และฐานคะแนนก็ไม่ขยายเพราะขาดงบประมาณท้องถิ่นหรืออำนาจแต่งตั้งข้าราชการ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการสร้างฐานเสียงในระบบการเมืองไทย

ต่อให้เลือกใช้วิธีใด — อภิปรายไม่ไว้วางใจ ลงถนน หรือแม้แต่ดีลใต้โต๊ะ — ผลลัพธ์ก็แทบไม่เปลี่ยนเกมหลักได้ เพราะสนามแข่งขันถูกออกแบบให้พวกเขาแพ้ตั้งแต่ต้น


4. ดีลเก่าหมดค่า ดีลใหม่มาแทน

  • เพื่อไทย เคยเป็นตัวแสดงหลักเพราะดีลกับผู้คุมกติกาหลังม่าน แต่เวลานี้ดีลนั้นหมดอายุลง และพรรคถูกบีบให้กลายเป็นผู้เล่นสมทบ

  • ภูมิใจไทย ขึ้นมาเป็นตัวเลือกใหม่ที่น่าเชื่อถือกว่า และพร้อมทำงานตามที่กำหนด

  • ส้ม ถูกกันออกไปตั้งแต่แรก ไม่ว่าจะได้คะแนนเท่าไร ก็ไม่ถูกรวมเข้ามาอยู่ในดีล

นี่คือความจริงอันเจ็บปวดว่า ประชาชนโหวตให้ตายก็สู้ดีลลับไม่ได้ เพราะระบบไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อให้ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจ แต่เพื่อให้เป็นเพียงผู้ชมในเกมที่ถูกจัดฉากไว้แล้ว


5. Scenario: ถ้าอนุทินอยู่จนครบวาระที่เหลือ (2 ปี)

ปีแรก: ตั้งหลักและเก็บแต้ม

  • รัฐบาลผสม น้ำเงิน + แดง เกิดขึ้น เพื่อไทยถูกลดบทบาทเป็นแค่พรรคสมทบ

  • นโยบายหลัก: กัญชาการแพทย์, งบท้องถิ่น, สาธารณสุข, ถนน โรงพยาบาล

  • ผลักดันการท่องเที่ยว Wellness / Medical Tourism เพื่อดึงรายได้เข้าประเทศ

  • ขยาย Free Zone ดึงทุนจีน-อาหรับ เสริมเศรษฐกิจ

  • พรรคส้มเจอแรงกดดันจากคดี อาจถึงขั้นยุบพรรคหรือตัดสิทธิ์แกนนำ

ปีที่สอง: บล็อกคู่แข่งและเตรียมเลือกตั้ง

  • ใช้กฎหมายพิเศษ เช่น 112 และกฎหมายไซเบอร์เพื่อจำกัดฝ่ายค้าน

  • กระจายงบท้องถิ่นอย่างมีเป้าหมาย เพื่อซื้อใจฐานเสียงก่อนเลือกตั้ง

  • ประชานิยมจัดหนัก: บัตรสวัสดิการเวอร์ชันใหม่, Mega Project, โครงการหมู่บ้านสุขภาพ

  • ใช้อำนาจควบคุมข้าราชการและ กกต. เพื่อจัดการสนามเลือกตั้งให้มั่นใจว่าไม่สะดุด

นโยบายที่จะเห็นชัด:

  • สุขภาพและการแพทย์ (ต่อยอดจากเครดิตเดิม)

  • กัญชาเสรีในกรอบควบคุมมากขึ้น

  • ประชานิยมที่จับต้องได้จริง เช่น เงินอุดหนุนตรงถึงชุมชน

  • การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมโยงกับทุนต่างชาติ โดยเฉพาะจีนและอาหรับ

  • คุมเข้มเสรีภาพทางการเมืองและออนไลน์ เพื่อปิดทางเสียงวิจารณ์


6. เลือกตั้งรอบหน้า (2027)

เมื่อครบวาระรัฐบาล โฉมหน้าการเลือกตั้งที่เป็นไปได้คือ:

  • ภูมิใจไทย → ได้เปรียบอย่างมหาศาล อาจคว้าที่นั่งเกิน 150 ขึ้นไป เป็นแกนนำตั้งรัฐบาลต่อ

  • เพื่อไทย → ฐานเสียงลดลงเหลือราว 80–100 ที่นั่ง และอาจต้องแตกพรรคใหม่เพื่อเอาตัวรอด

  • ส้ม → ถ้าไม่โดนยุบ ยังได้คะแนนดิบสูงสุด แต่ระบบเลือกตั้งทำให้ที่นั่งเหลือไม่เกิน 120 ถ้าโดนยุบก็ต้องตั้งพรรคใหม่ ซึ่งเสียต้นทุนเวลาและทรัพยากร

  • พรรคเล็ก → กลายเป็นเศษคะแนนที่ถูกดูดเข้าร่วมรัฐบาลน้ำเงินเพื่อสร้างเสียงข้างมาก

สมการรัฐบาลหลังเลือกตั้ง → อนุทินยังคงได้เปรียบ เพราะมีทั้งงบประมาณ ทุนทางการเมือง และสัญญาณสนับสนุนจากผู้คุมเกมหลังม่าน


7. ผลลัพธ์ที่ประชาชนต้องเผชิญ

ประชาชนอาจได้รับผลประโยชน์ระยะสั้น เช่น โครงการแจกเงิน งบท้องถิ่น หรือโครงสร้างพื้นฐานใหม่ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่การเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจที่แท้จริง การเลือกตั้งยังเป็นเพียงพิธีกรรมเพื่อสร้างภาพประชาธิปไตย ขณะที่ผู้คุมเกมหลังม่านยังคงเป็นผู้ตัดสินชี้ขาดว่าใครจะได้ครองเก้าอี้

ผลลัพธ์คือความผิดหวังซ้ำซาก: ประชาชนได้สิทธิเลือกตั้ง แต่ไม่ได้สิทธิเลือกผู้นำจริง ๆ


บทสรุป

สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่คือการเมืองไทยในรูปแบบที่เล่นซ้ำมาไม่รู้กี่ยุคสมัย: ประชาชนเลือกใครก็เลือกไป แต่ผู้ที่จะได้นั่งเก้าอี้นายกฯจริง ๆ คือตัวเลือกที่ระบบคัดสรรไว้แล้ว

การเปลี่ยนตัวนายกฯครั้งนี้จึงไม่ใช่การปฏิรูปหรือการก้าวไปข้างหน้า แต่คือการปรับสมดุลใหม่ระหว่างพรรคการเมืองกับอำนาจหลังม่าน เพื่อสร้างเสถียรภาพตามที่ผู้มีอำนาจต้องการ และถ้า scenario เดินตามที่คาด อนุทินอาจกลายเป็น “ประยุทธ์เวอร์ชันใหม่” ที่อยู่จนครบวาระ และพร้อมต่อยอดเพื่อเตรียมเข้าสู่วาระใหม่ด้วยความมั่นใจ


วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2568

ค่าไฟฟ้ากับค่าครองชีพ: คนไทยจ่ายแพงหรือถูก เมื่อเทียบกับโลก?

บทนำ

เวลาเราเห็นข่าว “ค่าไฟในสหรัฐฯ หน่วยละเกือบ 8–10 บาท” หรือ “ยุโรปค่าไฟแพงกว่าไทยหลายเท่า” หลายคนอาจจะคิดว่า คนไทยโชคดีแล้วที่ยังจ่ายค่าไฟถูกกว่า แต่ถ้าเทียบกับ รายได้ แล้ว เรื่องนี้อาจพลิกกลับด้านทันที เพราะการดูแต่ “ราคาไฟต่อหน่วย” โดยไม่ดู “กำลังซื้อ” อาจทำให้เข้าใจผิดได้

วันนี้เราจะมาลองดูข้อมูลจริง ทั้งราคาไฟเฉลี่ย และรายได้เฉลี่ยของประเทศชั้นนำกับประเทศในเอเชีย ว่า “ต้องทำงานกี่นาที เพื่อจ่ายค่าไฟ 1 หน่วย (1 kWh)” แล้วสุดท้ายสรุปว่า คนไทยอยู่ตรงไหนของโลก


ตารางเปรียบเทียบค่าไฟ + รายได้เฉลี่ย (2025)

คำนวณจาก:

  • ราคาไฟเฉลี่ยครัวเรือน (GlobalPetrolPrices Q2 2025)

  • รายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมง (สถิติจาก BLS, ONS, ABS, StatCan, MHLW, MOM, DOSM, สถิติแรงงานไทย ฯลฯ)

  • คิด “นาทีทำงานต่อ 1 kWh”

ประเทศ ราคาไฟ (USD/kWh) รายได้เฉลี่ย (USD/ชม.) นาทีทำงานต่อ 1 kWh
🇺🇸 สหรัฐฯ 0.181 36.3 0.30 นาที
🇬🇧 อังกฤษ 0.397 25.6 0.93 นาที
🇩🇪 เยอรมนี 0.390 28.0 0.84 นาที
🇫🇷 ฝรั่งเศส 0.202 23.0 0.53 นาที
🇦🇺 ออสเตรเลีย 0.254 35.4 0.43 นาที
🇨🇦 แคนาดา 0.123 27.5 0.27 นาที
🇯🇵 ญี่ปุ่น 0.229 13.3 1.04 นาที
🇰🇷 เกาหลีใต้ 0.126 16.7 0.45 นาที
🇸🇬 สิงคโปร์ 0.234 23.5 0.60 นาที
🇲🇾 มาเลเซีย 0.049 4.1 0.72 นาที
🇹🇭 ไทย 0.127 2.63 2.90 นาที
🇻🇳 เวียดนาม 0.086 2.2 ~2.35 นาที
🇮🇩 อินโดนีเซีย 0.104 2.0 ~3.12 นาที
🇵🇭 ฟิลิปปินส์ 0.192 3.5 ~3.29 นาที
🇮🇳 อินเดีย 0.081 1.9 ~2.56 นาที
🇧🇩 บังกลาเทศ 0.104 1.6 ~3.90 นาที
🇱🇦 ลาว 0.084 1.5 ~3.36 นาที
🇰🇭 กัมพูชา 0.144 1.7 ~5.08 นาที

วิเคราะห์: ทำไมตัวเลขถึงบอกเล่าเรื่องจริงมากกว่าราคาไฟดิบ

  1. ประเทศพัฒนาแล้ว

    • ค่าไฟต่อหน่วยสูงกว่าประเทศกำลังพัฒนา แต่เมื่อเทียบกับรายได้ ภาระจริงต่ำมาก

    • เช่น อเมริกา: ค่าไฟ 1 หน่วย ≈ 0.30 นาทีทำงาน ขณะที่ไทยใช้เวลาเกือบ 3 นาที

  2. เอเชียตะวันออก (ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, สิงคโปร์)

    • ค่าไฟไม่ถูก แต่รายได้สูง → ภาระไฟฟ้าต่อรายได้ต่ำ (0.5–1 นาที/หน่วย)

    • ญี่ปุ่นเป็นข้อยกเว้นเล็กน้อย เพราะโครงสร้างอัตราขั้นบันไดทำให้ค่าไฟช่วงกลาง–สูงแพง

  3. เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ไทย, มาเลเซีย, เวียดนาม, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, ลาว, กัมพูชา)

    • แม้ค่าไฟ “ถูกกว่า” แต่เพราะรายได้ต่ำ ภาระไฟฟ้าเมื่อเทียบกับค่าแรงกลับสูงกว่า

    • ไทย = 2.9 นาที/หน่วย (เกือบ 10 เท่าของแคนาดา และสูงกว่าเกาหลีใต้ 6 เท่า)

    • กัมพูชา = หนักสุดในภูมิภาค ต้องทำงาน 5 นาที เพื่อจ่ายไฟ 1 หน่วย


สรุป: คนไทยอยู่ตรงไหน?

  • ถ้ามองแค่ “ราคาไฟป้าย” ไทยอยู่ ค่อนข้างถูก เมื่อเทียบกับโลก (หน่วยละ ~3.98 บาท หรือ $0.127)

  • แต่ถ้ามองตาม รายได้เฉลี่ย คนไทยต้องใช้เวลา ทำงาน 2.9 นาที/หน่วย → ภาระจริงสูงกว่าเกือบทุกประเทศพัฒนาแล้ว และสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านบางประเทศด้วย

  • กล่าวอีกแบบ: ไฟบ้าน 300 หน่วย/เดือน

    • ไทย = ~฿1,194 → ต้องทำงาน ~14.5 ชั่วโมงเพื่อจ่ายค่าไฟ

    • สหรัฐฯ = ~฿1,740 แต่ใช้เวลาแค่ 1.5 ชั่วโมง

    • เกาหลีใต้ = ~฿1,200 แต่ใช้เวลาแค่ 6 ชั่วโมง


บทสรุปส่งท้าย

คนไทยไม่ได้จ่ายค่าไฟถูก อย่างที่คิด หากวัดเป็น “ส่วนแบ่งของรายได้” ภาระค่าไฟในไทยกลับ แพงกว่าอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสิงคโปร์หลายเท่า

นี่สะท้อนปัญหาใหญ่ของค่าครองชีพ: ไม่ใช่เพราะไฟฟ้าแพงเกินไป แต่เพราะ รายได้ไทยต่ำเกินไป เมื่อเทียบกับมาตรฐานโลก พูดง่าย ๆ คือ ค่าแรงไม่ทันค่าครองชีพ → คนไทยเลยรู้สึกว่า “ใช้ไฟแพง” ทั้งที่ป้ายราคาต่ำกว่า

ดังนั้น ถ้าอยากแก้ภาระค่าไฟจริง ๆ วิธีที่ยั่งยืนกว่าคือ ยกระดับรายได้และผลิตภาพแรงงาน ไม่ใช่แค่กดราคาพลังงาน เพราะสุดท้ายแล้วพลังงานเป็นต้นทุนสากลที่ประเทศพัฒนาแล้วก็เผชิญเหมือนกัน แต่สิ่งที่ทำให้เขา “จ่ายได้สบาย” คือ รายได้สูงกว่า

“ไรเดอร์ไม่ใช่ลูกค้า?” — เมื่อการดูถูกแรงงานเริ่มจากความเข้าใจผิด

โพสต์หนึ่งในโลกออนไลน์เพิ่งกลายเป็นเวทีถกเถียงใหญ่ — เมื่อมีคนแสดงความเห็นว่า “ไรเดอร์คือตัวแทนลูกค้า มีสิทธิ์นั่งรอเหมือนลูกค้าทั่วไป” ...