บทนำ: เมื่อคลิปเสียงกลายเป็นดาบกลับมาฟันตัวเอง
การสนทนาในคลิปเสียงความยาว 17 นาที ระหว่างนายกรัฐมนตรีไทย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร และสมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เชื่อว่าเกิดขึ้นก่อนวันที่ 18 มิถุนายน 2568 ซึ่งเป็นวันที่สมเด็จฮุน เซน เผยแพร่คลิปเสียงดังกล่าวต่อสาธารณะ โดยยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการถึงวันที่ที่แน่นอนของบทสนทนา และคลิปเสียงดังกล่าวถูกเผยแพร่สู่สาธารณะในวันที่ 18 มิถุนายน 2568 ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยอย่างไม่อาจมองข้ามได้
คลิปที่ควรจะสะท้อนความตั้งใจดีในการรักษาสันติภาพ (โดยมีการยืนยันจากฝั่งกัมพูชาเอง โดยสมเด็จฮุน เซน ยอมรับว่าคลิปดังกล่าวเป็นของจริงและเป็นส่วนหนึ่งของการพูดคุยที่เกิดขึ้นจริง) กลับสะท้อน ความไร้ทักษะทางการทูต การพูดจาอ่อนเชิง และการขาดความเข้าใจในเกมการเมืองระหว่างประเทศอย่างสิ้นเชิง
1. ย้อนรอยปัญหาไทย-กัมพูชาภายใต้ฮุน เซน
ปัญหาระหว่างไทยกับฮุน เซน ไม่ได้เริ่มจากคลิปเสียงนี้ แต่สั่งสมมาต่อเนื่องยาวนานตลอดหลายสิบปี ผ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ล้วนส่งผลต่อความมั่นคงและความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในห้วงเวลาที่ฮุน เซนดำรงตำแหน่งผู้นำกัมพูชา และแม้กระทั่งหลังพ้นตำแหน่ง ก็ยังมีบทบาทในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างเข้มข้น
1.1 เหตุการณ์ปะทะบริเวณเขาพระวิหาร (พ.ศ. 2551–2554)
-
กัมพูชานำพื้นที่รอบเขาพระวิหารขึ้นทะเบียนมรดกโลกโดยไม่ผ่านความตกลงกับไทย ซึ่งกระทบต่ออธิปไตยไทยโดยตรง
-
เกิดการปะทะระหว่างทหารไทย-กัมพูชาหลายระลอก และส่งผลให้ไทยต้องถอนตัวจากคณะกรรมการมรดกโลก
-
ฮุน เซน ใช้เหตุนี้เพื่อสร้างภาพลักษณ์ผู้นำที่ยืนหยัดต่อกรกับไทย และสร้างความเป็นหนึ่งในประเทศของตน
1.2 กรณีการให้ที่พักนายทักษิณ ชินวัตร (พ.ศ. 2552)
-
ฮุน เซนแต่งตั้งนายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งในขณะนั้นถูกออกหมายจับในไทย ให้เป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของกัมพูชา
-
สร้างความตึงเครียดทางการทูตจนไทยเรียกเอกอัครราชทูตกลับประเทศ และมีการตอบโต้ทางการเมืองในระดับรัฐต่อรัฐ
-
ฮุน เซนแสดงตนชัดเจนว่าแทรกแซงการเมืองไทยเพื่อผลประโยชน์เชิงกลยุทธ์
1.3 ข้อพิพาทการใช้แหล่งทรัพยากรพลังงานทางทะเล
-
ฮุน เซนเคยแสดงท่าทีร่วมมือกับไทยในประเด็นแหล่งก๊าซธรรมชาติบริเวณอ่าวไทย
-
แต่ภายหลังกลับยกประเด็นอธิปไตยและเสนอแยกผลประโยชน์โดยไม่มีการเจรจาแบบรัฐต่อรัฐ ทำให้ไทยตกอยู่ในภาวะเสียเปรียบเชิงยุทธศาสตร์
-
ประเด็นนี้ถูกหยิบยกขึ้นทุกครั้งเมื่อมีรัฐบาลไทยที่อ่อนแอ
1.4 การใช้สื่อและโซเชียลกดดันไทยซ้ำซาก
-
ฮุน เซนมักใช้ Facebook ส่วนตัวซึ่งมีผู้ติดตามนับล้านคน เพื่อโจมตีหรือกดดันรัฐบาลไทยในสถานการณ์ต่าง ๆ
-
ไม่ผ่านช่องทางการทูตตามปกติ ทำให้ไทยไม่สามารถตอบโต้ได้ในระดับรัฐต่อรัฐ และเสียเปรียบทางการสื่อสาร
-
กรณีล่าสุดคือการโพสต์ขู่ว่าจะตัดน้ำ-ตัดไฟ ส่งผลให้คลิปเสียงนายกรัฐมนตรีไทยต้องหลุดตามมา
1.5 เหตุการณ์คลิปเสียง (มิ.ย. 2568)
-
การที่ฮุน เซนเผยแพร่คลิปเสียงที่สนทนากับนายกรัฐมนตรีไทยเอง เป็นการรุกกลับทางการเมืองแบบเปิดหน้า
-
ชี้ให้เห็นว่าฝ่ายกัมพูชายังสามารถควบคุมพื้นที่ข่าวสาร และใช้ข้อมูลจริงเป็นอาวุธเชิงจิตวิทยาต่อไทย
-
ทำให้รัฐบาลไทยตกเป็นฝ่ายตั้งรับอย่างสิ้นเชิงในเวทีระหว่างประเทศ
2. ความอ่อนด้อยทางการทูต: เมื่อ “ความตั้งใจดี” ไม่เพียงพอ
พฤติกรรมที่ผิดหลักการทูตอย่างร้ายแรง:
-
การกล่าวถึงแม่ทัพภาคที่ 2 ว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามต่อหน้าผู้นำต่างชาติ ถือเป็นการลดความน่าเชื่อถือของกลไกความมั่นคงของประเทศตนเอง
-
การพูดในลักษณะอ้อนวอน เช่น “ลุงเห็นใจหลานหน่อย” หรือ “ท่านอยากได้อะไร บอกมาเลย” สะท้อนการลดทอนสถานะผู้นำประเทศลงเหลือเพียงผู้ขอความเมตตา
-
การยอมรับว่าทหารไทยเป็นฝ่ายผิดโดยไม่มีหลักฐานโต้แย้ง คือการยื่นอาวุธให้อีกฝ่ายใช้โจมตีตนเองอย่างเต็มที่
การทูตไม่ใช่แค่ "เจรจาเพื่อสันติภาพ" อย่างไร้ชั้นเชิง แต่คือ "เกมเจรจาที่ต้องรักษาผลประโยชน์ชาติสูงสุดภายใต้ท่าทีที่มีศักดิ์ศรี" ซึ่งนายกรัฐมนตรีไทยล้มเหลวโดยสิ้นเชิงในจุดนี้
3. คุณสมบัติผู้นำที่ไม่ถึงขั้น: เมื่อหัวใจอย่างเดียวไม่พอ
แม้จะมีภาพลักษณ์ของผู้นำรุ่นใหม่ มีความนุ่มนวล และสื่อสารได้ดีในบริบทภายใน แต่ในเวทีระหว่างประเทศ สิ่งที่ต้องมีคือความนิ่ง กลยุทธ์ และความเข้าใจในความเป็นรัฐ
ในคลิปเสียงนั้น เราไม่พบหลักการใด ๆ ที่สะท้อนว่านายกฯ เข้าใจหลักการทางการทูต เช่น:
-
การแยกบทบาทระหว่างผู้นำรัฐบาลกับหน่วยงานทหาร
-
การรู้ว่าท่าทีใดควรเก็บไว้ในวงปิด และใดควรสื่อสารต่อสาธารณะ
-
การประเมินการเปิดเผยข้อมูล และผลกระทบระยะยาวที่มีต่อตำแหน่งตนเองและต่อภาพลักษณ์ประเทศ
ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า น.ส.แพทองธาร ยังไม่พร้อมในเชิงคุณสมบัติที่จะเป็นหัวหน้ารัฐบาลที่ต้องเจรจากับผู้นำโลก
4. ฮุน เซน: ผู้นำที่เข้าใจจังหวะเกม และใช้โซเชียลเป็นอาวุธ
แม้จะไม่ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว แต่สมเด็จฮุน เซน ยังคงเป็นผู้มีอิทธิพลสูงสุดในกัมพูชา และยังเล่นเกมการทูตกับไทยอย่างมีชั้นเชิง
-
เขาเลือกเผยแพร่คลิปเสียงฉบับเต็มด้วยตนเอง เพื่อแสดงความโปร่งใสและป้องกันการบิดเบือนจากฝั่งไทย
-
เขาใช้ Facebook ซึ่งมีผู้ติดตามหลายล้านคน เป็นเวทีขับเคลื่อนนโยบายและความเห็นต่อไทย โดยไม่ต้องผ่านกระทรวงการต่างประเทศ
-
เขาวางตัวในลักษณะผู้ไกล่เกลี่ย แต่แฝงด้วยการกดดันผ่านสื่อ สร้างแรงถ่วงทางความชอบธรรมใส่รัฐบาลไทยได้อย่างแยบยล
สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่า ไทยกำลังเผชิญคู่เจรจาที่เข้าใจทั้งเกมอำนาจ, จังหวะการเมือง และการสื่อสารมวลชนระดับสูง
5. ผลกระทบต่อกองทัพและข้าราชการไทย
การที่ผู้นำประเทศกล่าวว่าแม่ทัพภาคที่ 2 เป็น “ฝ่ายตรงข้าม” ส่งผลเสียหายอย่างรุนแรงต่อขวัญกำลังใจของหน่วยงานความมั่นคงไทย
-
กองทัพไทยถูกลดทอนความน่าเชื่อถือในสายตาของต่างประเทศ ว่า “ไม่มีเอกภาพกับรัฐบาลตนเอง”
-
ข้าราชการประจำในระดับนโยบาย อาจเริ่มลังเลว่าจะต้องฟังใคร: นายกฯ หรือสายอำนาจของตัวเอง
-
ทำให้เกิดภาวะ “รัฐบาลอ่อนแอภายใน-เสียเปรียบภายนอก” ซึ่งอันตรายต่อความมั่นคงระดับชาติ
นี่ไม่ใช่เพียงความผิดพลาดเชิงคำพูด แต่คือการ ทำลายเส้นประสานระหว่างอำนาจบริหารและความมั่นคง อย่างที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลย
6. เสียงสะท้อนจากประชาชน: จุดเริ่มต้นของคลื่นต้าน?
-
โซเชียลมีเดียเต็มไปด้วยเสียงวิจารณ์และคำว่า “ผิดหวัง” จากทั้งฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายกลาง
-
ฝ่ายค้านเริ่มเคลื่อนไหวเรียกร้องให้มีการชี้แจงต่อสภา และบางกลุ่มเริ่มเรียกร้องให้ลาออกหรือยุบสภา
-
มีสัญญาณว่าเครือข่ายภาคประชาชนบางกลุ่มกำลังรวมตัว เตรียมเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์เพื่อกดดันทางจิตวิทยา
เหตุการณ์นี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของความเคลื่อนไหวแบบ “หยดน้ำที่ล้นแก้ว” ถ้ารัฐบาลยังนิ่งเฉย และไม่รับผิดชอบทางการเมือง
7. ไทยควรดำเนินการอย่างไร?
วิเคราะห์จากสิ่งที่ไทยมี:
-
อำนาจเศรษฐกิจ: ไทยมี GDP ใหญ่กว่ากัมพูชาเกิน 10 เท่า มี leverage สูงมากในการกำหนดทิศทางการค้า
-
อำนาจความมั่นคง: ไทยเป็นฝ่ายควบคุมจุดผ่านแดนหลัก หากเกิดข้อพิพาทสามารถชะลอได้โดยชอบธรรมตามหลักความมั่นคงภายใน
-
อำนาจสื่อและความชอบธรรม: สื่อโลกเชื่อไทยมากกว่ากัมพูชาในฐานะประเทศประชาธิปไตยกึ่งเสรีที่มีเสถียรภาพกว่า
-
อำนาจทางวัฒนธรรม: Soft Power อย่างไทยสามารถเป็นเครื่องมือในการเจรจาโดยไม่ใช้ความแข็งกร้าว
แทนที่จะอ่อนข้อและลดเกียรติ ควรดำเนินการแบบนี้:
-
ใช้ช่องทางทางการทูตอย่างเป็นทางการ ไม่ใช่เจรจาผ่านโทรศัพท์ส่วนตัว
-
ให้กระทรวงต่างประเทศประสานพูดคุยในระดับรัฐมนตรี เพื่อคงท่าทีรัฐต่อรัฐ
-
ให้กระทรวงกลาโหมเป็นผู้อธิบายเหตุผลทางยุทธศาสตร์ของการปิดด่าน ไม่ใช่โยนความผิดให้ทหาร
-
เปิดเวทีสาธารณะ ร่วมแถลงกับกัมพูชา (หากตกลงได้) เพื่อรักษารูปภาพระหว่างประเทศ
-
ในกรณีมีความขัดแย้งภายใน ควรแสดงความเป็นผู้นำด้วยการประสานกองทัพและฝ่ายมั่นคงเพื่อไม่ให้ส่งสัญญาณแตกแยกออกนอกประเทศ
8. สรุป: นายกฯ คนนี้ควรอยู่ในตำแหน่งต่อหรือไม่?
จากเหตุการณ์นี้ เราไม่เพียงเห็นความผิดพลาดทางยุทธศาสตร์ แต่ยังเห็นว่า:
-
น.ส.แพทองธาร ไม่มีความเข้าใจใน game theory ของการเมืองระหว่างประเทศ
-
ไม่มีวุฒิภาวะและทักษะการควบคุมสถานการณ์ใน crisis diplomacy
-
ไม่มีทีมงานหรือที่ปรึกษาที่กลั่นกรองเส้นทางการสื่อสารและผลกระทบระยะยาวอย่างเพียงพอ
คำตอบคือ: ไม่ควร อยู่ในตำแหน่งต่อหากไม่สามารถชดเชยจุดอ่อนนี้ได้ทันที
ประเทศไทยไม่สามารถฝากอนาคตไว้กับผู้นำที่ “อ่อนชั้นเชิงจนถูกอีกฝ่ายเปิดคลิปมาประจานได้”
การเป็นผู้นำประเทศ ไม่ใช่แค่สวย พูดดี หรือขอความเห็นใจเก่ง — แต่มันต้องแข็งในยามจำเป็น และนุ่มในยามเหมาะสม
ถ้ารัฐบาลนี้ยังยืนยันที่จะอยู่ ต้องปรับทีมทั้งหมด และต้องส่งสัญญาณว่ารู้ตัว และพร้อมพัฒนา ไม่ใช่แค่ซ่อนตัวเงียบหวังให้คลื่นผ่านไป
แต่ถ้าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น... ก็คงเหลือเพียงประโยคเดียว:
“มันจบแล้วครับนาย”