วันอาทิตย์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

BOPE และโลกเงาแห่งฟาเวล่า: เมื่อรัฐสมัยใหม่ต้องสู้กับเงาของตัวเอง

บทนำ: เสียงปืนในเมืองสวยที่ไม่เคยหลับ

ริโอเดจาเนโร เมืองที่หลายคนใฝ่ฝันจะไปเยือน — ชายหาดโคปาคาบานาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม พระเยซูองค์ใหญ่ยืนกางแขนบนยอดเขา การเต้นแซมบ้าที่ลื่นไหลในคาร์นิวัล — ทั้งหมดคือภาพลวงที่สวยงามในโปสการ์ดที่คนทั่วโลกจดจำ แต่เบื้องหลังภาพนั้น คือเสียงปืนที่ดังทุกสัปดาห์ในชุมชนแออัดบนภูเขา เสียงหวีดไซเรน เสียงร้องไห้ และเงาของความกลัวที่ไม่เคยหายไปจากเมืองนี้เลย

ที่นั่นคือ “ฟาเวล่า” (Favela) — เมืองอีกเมืองที่ซ่อนอยู่ในเมืองใหญ่ เป็นบ้านของคนนับล้านที่ไม่มีชื่อในทะเบียนราษฎร์ ไม่มีที่ดินเป็นของตัวเอง และไม่มีความคุ้มครองจากรัฐ แต่กลับต้องอยู่ใต้การปกครองของกองกำลังติดอาวุธนอกกฎหมาย และคนที่กล้าเผชิญกับโลกนั้นในแนวหน้า คือหน่วย BOPE — หน่วยตำรวจพิเศษที่ทั้งโลกจดจำในนาม “หน่วยหัวกะโหลก”


กำเนิดของ BOPE: จากสงครามยาเสพติดสู่สงครามในเมือง

หน่วย BOPE (Batalhão de Operações Policiais Especiais) ก่อตั้งขึ้นในปี 1978 ภายใต้การบังคับบัญชาของ Polícia Militar do Estado do Rio de Janeiro (PMERJ) เพื่อตอบสนองต่อวิกฤตยาเสพติดและความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นในเมืองริโอเดจาเนโร ซึ่งตำรวจทั่วไปไม่สามารถรับมือได้ ทั้งเพราะอาวุธด้อยกว่าและไม่รู้จักภูมิประเทศซับซ้อนของฟาเวล่า

รัฐจึงจัดตั้งหน่วยรบพิเศษขึ้นโดยผสมผสานระเบียบวินัยทางทหารเข้ากับความยืดหยุ่นแบบตำรวจ เป้าหมายคือสร้างกำลังที่สามารถปฏิบัติการในพื้นที่เมืองที่หนาแน่นและอันตรายได้อย่างมีประสิทธิภาพ การฝึกของ BOPE ขึ้นชื่อว่าโหดที่สุดในประเทศ ผู้สมัครต้องผ่านการฝึกทางกายภาพและจิตใจที่เข้มงวด เช่น การปีนเขา ลุยโคลน แบกอาวุธหนักข้ามภูเขา ฝึกการบุกเข้าตึกสูงและตรอกแคบจำลองจากฟาเวล่าจริง รวมถึงการตัดสินใจในสภาวะความเครียดและเสียงปืนจำลองตลอดเวลา เพื่อเตรียมให้พร้อมสำหรับการรบในเมืองจริง

หลังจากจัดตั้ง หน่วย BOPE ถูกส่งเข้าปฏิบัติการจริงหลายครั้งที่สำคัญ เช่น การยึดคืนพื้นที่ Complexo do Alemão ในปี 2010 และปฏิบัติการ Rocinha ในปี 2017 ที่ต้องรับมือแก๊งอาวุธสงครามกลางย่านชุมชนหนาแน่น ความเชี่ยวชาญในการเคลื่อนพลระหว่างตรอกบ้านและการใช้อุปกรณ์เฉพาะอย่างรถหุ้มเกราะ Caveirão ทำให้ BOPE ได้ชื่อว่าเป็นกองกำลังที่กล้าเข้าในที่ที่คนอื่นไม่กล้าเข้า

โลโก้ของหน่วย — หัวกะโหลกเสียบมีดพกและปืนไขว้ — สะท้อนแนวคิด “Victory or Death” คือชนะหรือไม่กลับมาเลย และภาพลักษณ์นี้ยิ่งเด่นชัดขึ้นเมื่อภาพยนตร์ Tropa de Elite (2007) และภาคต่อ O Inimigo Agora é Outro (2010) ถ่ายทอดชีวิตและความขัดแย้งภายในของเจ้าหน้าที่ BOPE จนกลายเป็นประเด็นถกเถียงทั่วประเทศว่า ศัตรูตัวจริงคือแก๊งในฟาเวล่า หรือระบบที่ผลักให้ทั้งตำรวจและประชาชนต้องอยู่ในวงจรแห่งความรุนแรงนี้กันแน่


ฟาเวล่า: เมืองของคนที่รัฐลืม

เพื่อเข้าใจว่าทำไม BOPE ต้องมี เราต้องเข้าใจว่าทำไมฟาเวล่าจึงเกิดขึ้นตั้งแต่ต้น

หลังสงครามโลกครั้งที่สอง บราซิลเร่งขยายเมืองเพื่อรองรับอุตสาหกรรม แรงงานชนบทหลั่งไหลเข้ามาในเมืองหลวงอย่างริโอเพื่อหางาน แต่รัฐไม่เคยเตรียมที่อยู่อาศัยราคาถูกไว้รองรับ คนจำนวนมากจึงสร้างบ้านจากเศษไม้ เศษสังกะสี ตามเชิงเขาและพื้นที่รกร้าง

เมื่อเวลาผ่านไป พื้นที่เหล่านั้นเติบโตเป็นชุมชนถาวร มีลูกหลาน มีตลาด มีวัด มีโรงเรียน แต่ยังคง “ไม่มีสถานะทางกฎหมาย” ไม่มีโฉนด ไม่มีน้ำประปา ไม่มีไฟฟ้าที่ถูกต้องตามระเบียบ ฟาเวล่าจึงเป็นเหมือนโลกคู่ขนาน — มีชีวิต มีวัฒนธรรม มีจังหวะของตัวเอง แต่รัฐไม่เคยยอมรับว่ามันคือส่วนหนึ่งของเมือง

และในพื้นที่ที่รัฐไม่อยู่ ใครบางคนก็เข้ามาแทน — นั่นคือแก๊งค้ายาและกลุ่มติดอาวุธ


จากความจนสู่รัฐเงา: ระบบสังคมในฟาเวล่า

1. ศาลของแก๊ง — กฎหมายแห่งเงา

เมื่อไม่มีศาลของรัฐ แก๊งค้ายาจึงตั้งศาลของตนเองขึ้นมาภายใต้ชื่อ Tribunal do Crime ตัดสินคดีตั้งแต่การขโมย การทรยศ ไปจนถึงการล่วงละเมิดในชุมชน โทษมีตั้งแต่เฆี่ยนตีจนถึงประหารชีวิต คำตัดสินไม่มีอุทธรณ์ เพราะทุกคนรู้ว่าการขัดขืนหมายถึงความตาย

2. ตำรวจของแก๊ง — เด็กชายกับปืนกล

เด็กหลายพันคนเริ่มชีวิตอาชญากรในวัยเพียงสิบขวบในฐานะ olheiro — เด็กสอดแนมเฝ้าทางเข้าออกของฟาเวล่า คอยส่งสัญญาณเตือนเมื่อเห็นรถตำรวจหรือหน่วย BOPE พอโตขึ้นก็กลายเป็น soldado — ทหารติดอาวุธเต็มรูปแบบ มีเงินเดือน อาวุธ และเกียรติในพื้นที่ที่ไม่มีเกียรติให้ใครอีกแล้ว

3. ภาษีและบริการ — เศรษฐกิจในเงามืด

แก๊งเก็บ “ภาษีเพื่อความสงบ” จากร้านค้า ร้านอาหาร และธุรกิจเล็ก ๆ ชาวบ้านจ่ายแลกกับการคุ้มครอง บางแห่งแก๊งติดตั้งไฟฟ้า น้ำ หรืออินเทอร์เน็ตให้เอง มีการเก็บเงินรายเดือนแบบสม่ำเสมอ จนคนในบางพื้นที่พูดตรง ๆ ว่า “แก๊งดูแลเราดีกว่ารัฐ”

4. ศาสนาและวัฒนธรรม — ความเชื่อที่ไม่เคยดับ

แม้จะอยู่ในความรุนแรง แต่ฟาเวล่าก็ยังมีความศรัทธา ศาสนาอย่าง Candomblé และ Umbanda ที่ผสมระหว่างคาทอลิกกับความเชื่อแอฟริกันยังคงเข้มแข็ง พิธีกรรมเรียกขวัญและเพลงสวดเป็นทั้งที่พึ่งทางใจและความผูกพันของชุมชน

ฟาเวล่าจึงไม่ใช่แค่สลัม แต่คือรัฐเงาที่มีทั้งศาล ตำรวจ ภาษี ศาสนา และวัฒนธรรมที่หล่อเลี้ยงชีวิตคนเป็นล้าน


รัฐที่เข้มแข็งแต่ไม่เข้าถึง

แม้บราซิลจะมีโครงสร้างรัฐที่เข้มแข็งในเชิงอำนาจและระบบราชการ แต่การเข้าถึงบริการพื้นฐานกลับจำกัดเฉพาะกลุ่มประชากรบางส่วน ช่องว่างทางเศรษฐกิจและสังคมระหว่างคนในเมืองกับคนในฟาเวล่าจึงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ

จากข้อมูลของสถาบันเศรษฐกิจแห่งบราซิล ปี 2024 ระบุว่า รายได้เฉลี่ยของผู้อยู่อาศัยในฟาเวล่าริโอเดจาเนโรอยู่ที่ราว 800–1,200 เรียลต่อเดือน (ประมาณ 6,000–9,000 บาท) ในขณะที่ผู้คนในย่านเมืองหลักอย่างโซนใต้มีรายได้เฉลี่ยกว่า 5,000 เรียลต่อเดือน หรือสูงกว่าราวหกเท่า ความเหลื่อมล้ำเช่นนี้สะท้อนว่ารัฐแม้จะมีอำนาจและเครื่องมือมากมาย แต่กลับไม่สามารถส่งต่อความเท่าเทียมทางโอกาสและสวัสดิการได้จริง

สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากประวัติศาสตร์อันยาวนานของการเป็นอาณานิคม ระบบทาส และการผูกขาดที่ดินโดยชนชั้นสูง ส่งผลให้คนรวยเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ถือครองทรัพย์สินส่วนใหญ่ของประเทศ ในขณะที่คนจนถูกผลักออกไปอยู่นอกระบบเมือง รัฐบาลเองมักเลือกใช้ “กำลัง” แทน “การพัฒนา” เมื่อต้องรับมือกับความรุนแรงในฟาเวล่า จึงเกิดวงจรซ้ำซากของความรุนแรงและความสิ้นหวัง — ฟาเวล่าเติบโต → แก๊งเติบโต → BOPE เข้าปราบ → มีผู้เสียชีวิต → เงียบลง → แล้วทุกอย่างก็เริ่มใหม่อีกครั้ง

ในวงจรนี้ ไม่มีใครชนะจริง ๆ ทั้งรัฐ แก๊ง หรือประชาชน มีเพียงผู้รอดชีวิตชั่วคราวที่ต้องอยู่กับความกลัวและความไม่แน่นอนทุกวัน


เงามืดของตำรวจ: เมื่อผู้พิทักษ์กลายเป็นผู้แสวงผลประโยชน์

ในระหว่างที่ BOPE ต่อสู้กับแก๊งในฟาเวล่า อีกด้านหนึ่งก็คือ “Milícia” — กลุ่มตำรวจนอกเครื่องแบบที่สร้างอำนาจของตัวเองภายใต้ข้ออ้างในการ “คุ้มครองชุมชน” พวกเขาเริ่มจากการไล่แก๊งยาออกไป แต่ไม่นานก็กลายเป็นกลุ่มอิทธิพลที่เก็บค่าคุ้มครองจากชาวบ้านเหมือนกันทุกประการ

รายงานหลายฉบับระบุว่า Milícia เชื่อมโยงกับนักการเมืองท้องถิ่นและข้าราชการระดับสูง สร้างระบบเศรษฐกิจใต้ดินมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ต่อปี และบางพื้นที่มีอิทธิพลเหนือกว่าตำรวจทางการด้วยซ้ำ

นั่นทำให้เส้นแบ่งระหว่าง “กฎหมาย” และ “อาชญากรรม” ในบราซิลพร่าเลือนจนแทบแยกไม่ออก


Baile Funk: เสียงของคนที่ถูกลืม

ในโลกที่เต็มไปด้วยความกลัวและความรุนแรง คนในฟาเวล่ามีอาวุธอีกอย่างหนึ่ง — นั่นคือ “ดนตรี”

Baile Funk ไม่ใช่แค่เพลงเต้น แต่คือเสียงของคนที่ไม่มีพื้นที่พูดในสังคม มันเป็นทั้งข่าว วิทยุ และการระบายความเจ็บปวดในรูปแบบที่ฟังแล้วอยากขยับ

เนื้อเพลงพูดถึงชีวิตจริง ความยากจน ความรัก ความสูญเสีย และบางครั้งก็พูดถึงแก๊งหรือการปะทะกับ BOPE โดยตรง เพลงเหล่านี้ถูกเปิดในปาร์ตี้ริมถนนกลางฟาเวล่าที่เรียกว่า “Baile” — ที่ซึ่งคนทั้งชุมชนมารวมตัว เต้น หัวเราะ และลืมสงครามข้างนอกสักคืน

รัฐบาลและชนชั้นกลางมองว่ามันคือดนตรีที่สนับสนุนอาชญากรรม แต่สำหรับคนใน มันคือ “ความเป็นมนุษย์” ครั้งสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่

หลายศิลปินระดับประเทศอย่าง Anitta หรือ MC Carol ล้วนเริ่มต้นจากเวทีเล็ก ๆ เหล่านี้ และใช้เพลงเปลี่ยนภาพของฟาเวล่าจาก “ดินแดนแห่งปืน” เป็น “ดินแดนแห่งเสียง”


ศิลปะ ศาสนา และการฟื้นฟูในเถ้าถ่าน

แม้จะอยู่ในวงล้อมของความรุนแรง ฟาเวล่าก็ยังมีชีวิตชีวาในแบบของมันเอง ศิลปินใช้กำแพงพรุนกระสุนเป็นผืนผ้าใบ เด็กที่เคยอยู่ในแก๊งถูกชวนมาวาดภาพแทนถือปืน

โครงการอย่าง Favela Painting Project และ Morro do Alemão Art Crew เปลี่ยนตึกโทรม ๆ ให้กลายเป็นศิลปะสีสันสดใสที่มองเห็นได้จากบนฟ้า มันคือการประกาศว่า “เรายังอยู่ และเรามีศักดิ์ศรี”

ศาสนาก็ยังเป็นแรงยึดเหนี่ยว ผู้คนร่วมพิธี สวดมนต์ ร้องเพลง เป็นทั้งการเยียวยาและการต่อต้านความสิ้นหวัง


ฟาเวล่าในยุคโลกาภิวัตน์: จากเขตต้องห้ามสู่แหล่งท่องเที่ยว

หลังโอลิมปิกปี 2016 ที่ริโอเป็นเจ้าภาพ รัฐบาลพยายามเปิดฟาเวล่าให้โลกเห็นในมุมใหม่ มีทัวร์เดินชม ฟังเรื่องราวของชุมชน ดูศิลปะท้องถิ่น บางแห่งมีคาเฟ่และโฮมสเตย์ที่บริหารโดยคนในฟาเวล่าเอง

แต่คำถามก็ตามมา — มันคือการเรียนรู้หรือการบริโภคความจน? นักท่องเที่ยวจำนวนหนึ่งถ่ายรูปกับเด็ก ๆ แล้วกลับไปโพสต์ว่า “ได้เห็นชีวิตจริง” แต่สำหรับคนใน มันคือชีวิตที่เขาต้องอยู่ทุกวัน ไม่ใช่โชว์

อย่างไรก็ตาม ทัวร์เหล่านี้ก็ทำให้เกิดรายได้และความเข้าใจมากขึ้นในบางพื้นที่ มันไม่ใช่คำตอบสุดท้าย แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการมองฟาเวล่าในฐานะ “ชุมชน” ไม่ใช่ “ภัย”


อนาคต: ระหว่างความจริงและอุดมคติ

เสียงปืนของ BOPE อาจยังไม่หายไป แต่เสียงของเด็กในฟาเวล่าที่ร้องเพลง วาดภาพ และฝันถึงชีวิตใหม่ก็ดังขึ้นทุกวัน

อนาคตของริโอไม่ใช่เรื่องของการชนะสงครามกับยาเสพติด แต่คือการสร้างสังคมที่คนไม่ต้องเข้าร่วมสงครามตั้งแต่แรก หากรัฐลงทุนในโรงเรียน โรงพยาบาล และบ้านที่มีสิทธิ์ทางกฎหมายมากเท่ากับที่ลงทุนในอาวุธ บางที “ฟาเวล่า” อาจกลายเป็นเพียงคำในประวัติศาสตร์


บทสรุป: BOPE และฟาเวล่า — กระจกสะท้อนของมนุษยชาติ

ท้ายที่สุดแล้ว เรื่องราวของ BOPE และฟาเวล่าไม่ได้เป็นเพียงประวัติศาสตร์ของความรุนแรง หากแต่เป็นภาพสะท้อนของรัฐสมัยใหม่ที่ต้องเผชิญกับเงาของตัวเอง — เงาที่เกิดจากความไม่เท่าเทียม ความกลัว และความพยายามปกป้องระเบียบด้วยอาวุธมากกว่าความเข้าใจ หากรัฐยังไม่กล้ามองเงานั้นตรง ๆ วงจรความรุนแรงก็จะยังดำเนินต่อไปไม่สิ้นสุด

การยอมรับว่าเงาดังกล่าวคือส่วนหนึ่งของตัวตน อาจเป็นก้าวแรกของการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง เพราะเมื่อรัฐกล้าส่องไฟเข้าไปในมุมมืดของตนเอง — ทั้งในฟาเวล่าและในหัวใจของผู้คน — เมื่อนั้นเท่านั้นที่ความหวังแห่งเมืองริโอเดจาเนโรจะมีโอกาสถือกำเนิดขึ้นใหม่อีกครั้ง

เรื่องของ BOPE และฟาเวล่าไม่ใช่แค่เรื่องของบราซิล แต่มันคือเรื่องของโลกยุคใหม่ ที่เมืองใหญ่พัฒนาเร็วเกินมนุษย์ ความเหลื่อมล้ำลึกเกินเยียวยา และเสียงของผู้ไม่มีสิทธิ์ยังคงต้องตะโกนผ่านกำแพงปูนพรุนกระสุนเพื่อให้ใครสักคนได้ยิน

บางทีเราแต่ละคนก็มี “ฟาเวล่า” ของตัวเอง — พื้นที่ที่รัฐไม่เคยเข้ามาดูแลในใจเรา และบางครั้ง เสียงปืนที่เรากลัวที่สุด อาจเป็นเสียงแห่งความจริงที่เราพยายามกลบมาทั้งชีวิต

ถ้าห้ามใช้ผ้าห่มทั่วเมือง… ชาติจะประหยัดไฟได้เท่าไหร่กันแน่?

มันเป็นไอเดียที่ดูเหมือนจะเพี้ยน ๆ นิด ๆ …แต่แค่ลองคิดเล่น ๆ ก็เริ่มมีอะไรบางอย่างให้ขบอยู่เหมือนกันนะว่า ถ้าคนเมืองทั้งประเทศ ถูกบังคับให้...