วันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

ทำไมคนรวยถึงรวย : 6 ระบบที่คนธรรมดาเข้าไม่ถึง

บางทีเราเห็นข่าว “คนรวยที่สุดในประเทศ” แล้วก็เผลอถามในใจว่า

เขาทำงานอะไรนักหนา ถึงได้รวยขนาดนั้น?

ถ้าตอบแบบซื่อ ๆ เลยก็คือ — เขาไม่ได้รวยจากการทำงานแบบที่เราทำกันนี่แหละ

คนธรรมดาใช้แรง เวลา และทักษะแลกเงินเดือน
แต่คนรวยระดับบนสุดเขาใช้ “ระบบ” ที่สร้างเงินให้เขาไม่หยุด ถึงแม้เขาไม่ต้องทำอะไรแล้วก็ตาม

บทความนี้อยากชวนค่อย ๆ แกะทีละชั้น ว่า

  • ระบบอะไรบ้างที่ทำให้คนรวย “รวยต่อไปเรื่อย ๆ”

  • ทำไมช่องว่างระหว่างคนธรรมดากับคนบนสุดถึงห่างออกเรื่อย ๆ

  • และทำไมต่อให้เราขยันยังไง… เราก็ไม่ได้เล่นเกมเดียวกับเขาอยู่ดี

ทั้งหมดนี้ขอสรุปเป็น “6 ระบบที่คนธรรมดาเข้าไม่ถึง”


1) ถือ “สินทรัพย์ที่ไม่มีวันแพ้”

คนธรรมดามักถือ

  • เงินฝาก

  • กองทุน

  • บ้านหนึ่งหลัง คอนโดหนึ่งห้อง

แต่คนที่รวยที่สุด มักถือทรัพย์แบบนี้:

  • ที่ดินทั้งย่าน ไม่ใช่แปลงเดียว

  • ที่ดินรอบแลนด์มาร์กสำคัญของเมือง

  • สิทธิการใช้พื้นที่ที่คนทั่วไปไม่มีวันซื้อได้

  • อาคาร สถานที่ หรืออสังหาฯ ที่ติดอยู่กับสัญลักษณ์ของรัฐหรือเมือง

จุดต่างสำคัญ คือ ทรัพย์สินของเขาอยู่ในหมวดที่

  • มีคน “จำเป็นต้องใช้” เสมอ

  • ไม่สามารถสร้างใหม่แข่งได้ (ทำเลมีแค่เท่านี้)

  • มูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามการเติบโตของเมืองและประเทศ

คนธรรมดากลัวเงินเฟ้อ
แต่คนรวยระดับบนสุด ใช้เงินเฟ้อเป็นลมใต้ปีก
เพราะยิ่งของแพง ที่ดินและอสังหาฯ ที่เขาถือก็ยิ่งขึ้นราคาไปด้วย

เราทำงานเก็บเงินเพื่อซื้อบ้านหนึ่งหลัง
เขาซื้อย่านทั้งย่านแล้วปล่อยคนทั้งเมืองมาเช่าพื้นที่คืนให้เขาอีกที


2) ไม่ได้ใช้ “แรงทำงาน” หาเงิน แต่ใช้ “ระบบ” ปั๊มเงิน

คนธรรมดา: ถ้าไม่ทำงาน = ไม่มีเงินเข้า

คนรวยระดับบนสุด: ถ้าไม่ทำงาน = รายได้ยังเข้าปกติ
เพราะเงินมาจาก:

  • ค่าเช่าที่ดินและอาคาร

  • รายได้จากกิจการผูกขาดหรือใกล้ผูกขาด

  • ดอกเบี้ย พันธบัตร และตราสารหนี้ขนาดใหญ่

  • การลงทุนที่ใช้เงินก้อนมหาศาลกดต้นทุนให้ต่ำกว่าคนทั่วไป

ง่าย ๆ คือ เขาไม่ได้ “หาเงิน” แต่เขา ถือสิ่งที่ผลิตเงินได้

ถ้าเปรียบทั้งประเทศเป็นโรงงาน

  • คนธรรมดา = แรงงานกินเงินเดือน

  • คนรวยที่สุด = เจ้าของสายพานทั้งหมดในโรงงาน

ในขณะที่เรายังคิดว่า “ทำโอทีเพิ่มดีไหม”
เขานั่งคุยกันว่า “จะปรับค่าเช่าที่ดินขึ้นอีก 10% ดีไหม”


3) ถือทรัพย์ในนาม “โครงสร้าง” ไม่ใช่ในนาม “คนคนเดียว”

คนธรรมดาถือทรัพย์สินทุกอย่างในชื่อตัวเอง:

  • บ้านในชื่อเรา

  • รถในชื่อเรา

  • ที่ดินในชื่อเรา

พอเป็นชื่อเรา ก็หนีไม่ได้จาก

  • ภาษี

  • ภาระหนี้

  • ความเสี่ยงเวลาโดนฟ้อง หรือมีคดี

แต่คนรวยที่สุด มักใช้รูปแบบอย่างเช่น:

  • มูลนิธิ

  • ทรัสต์

  • องค์กรกึ่งสถาบัน

  • นิติบุคคลที่มีสถานะพิเศษ

ผลลัพธ์คือ:

  • ทรัพย์สินถูกแยกออกจากตัวบุคคล

  • โครงสร้างพวกนี้ไม่ “แก่” ไม่ “ตาย” เหมือนคน

  • ส่งต่อข้ามรุ่นได้โดยไม่ต้องแบ่งย่อยเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

  • ภาษีและกฎระเบียบบางอย่างใช้กับเขาไม่เหมือนกับที่ใช้กับเรา

พูดง่าย ๆ คือ ทรัพย์สินของเขา อายุยืนกว่าเจ้าของ
ตายไปกี่รุ่น ทรัพย์ก็ยังอยู่ และยังทำเงินให้คนรุ่นต่อ ๆ ไปได้เหมือนเดิม

เราทำงานทั้งชีวิตเพื่อซื้อบ้านหนึ่งหลังให้ลูก
เขาสร้างโครงสร้างที่ถือที่ดินได้ทั้งเมืองให้ “ตระกูล” ไปอีก 200 ปี


4) ลงทุนใน “ระบบที่กินส่วนแบ่งประเทศ”

ธุรกิจที่คนส่วนใหญ่ทำ = แข่งกันขายของในตลาดเดียวกัน

แต่ระดับบนสุด เขาไม่ได้เล่นที่ระดับ “ร้านค้า”
เขาไปเล่นที่ระดับ “โครงสร้างของตลาด”

ตัวอย่างเช่น:

  • ระบบขนส่งมวลชน

  • ท่าเรือ สนามบิน ถนนบางเส้น

  • โครงสร้างพื้นฐานใหญ่ ๆ

  • ระบบเช่าพื้นที่ขนาดมหาศาล

  • การถือหุ้นในกิจการที่คนทั้งประเทศต้องใช้

คนทั่วไปเปิดร้านขายของในห้าง
เขาเป็นคนเก็บค่าเช่าทุกร้านในห้าง

คนทั่วไปแข่งกันหาลูกค้าเพิ่มวันละนิด
เขาปรับค่าเช่าขึ้น 5% ก็ได้เงินเพิ่มมากกว่าที่ร้านเล็ก ๆ จะหาได้ทั้งปี

นี่แหละ “ระบบที่กินส่วนแบ่งประเทศ”
เพราะทุกคนใช้ระบบนี้อยู่ แต่เงินไหลกลับไปหาเจ้าของระบบเพียงไม่กี่ราย


5) อำนาจต่อรองที่ไม่ใช่ระดับมนุษย์ทั่วไป

มนุษย์ธรรมดาเวลาเจอรัฐ เจอระบบราชการ = แทบไม่มีเสียงอะไรเลย

แต่คนรวยที่สุด ไม่ได้มีแค่เงินเยอะ เขามี

  • สถานะ

  • สัญลักษณ์

  • บทบาทในโครงสร้างอำนาจ

การ “ขยับนิดเดียว” ของเขา
สามารถกระทบทั้งระบบเศรษฐกิจและสังคมได้

เพราะอะไร?

  • เขาถือทรัพย์สินที่สำคัญต่อภาพรวมของประเทศ

  • เขาเกี่ยวข้องกับเรื่องเชิงสัญลักษณ์ที่แตะยาก

  • เขาถูกผูกเข้ากับตัวตนของประเทศในสายตาคนทั้งในและนอกประเทศ

ผลคือ รัฐเองก็ต้องคำนึงถึงผลกระทบถ้าจะออกกฎหรือทำอะไรที่กระทบทรัพย์สินหรือผลประโยชน์ของเขา
มันไม่ได้เป็นเรื่อง “คนรวยคนหนึ่ง” อีกต่อไป แต่มันไปแตะระดับ “โครงสร้างของระบบ”

เราอาจจะต่อรองได้แค่กับ HR เรื่องเงินเดือนขึ้น 3%
แต่เขาต่อรองในระดับที่ว่า เงื่อนไขบางอย่างของประเทศจะถูกออกแบบยังไง


6) เขาไม่ได้เล่นเกมเดียวกับเราเลยตั้งแต่แรก

ที่สุดแล้ว ความต่างมันไม่ใช่แค่เรื่อง “ใครขยันกว่า” หรือ “ใครเก่งกว่า”
แต่คือ “คนละเกม คนละกระดาน”

คนธรรมดาเล่นเกมแบบนี้:

  • หางานให้ได้

  • เก็บเงินเท่าที่เก็บได้

  • ถ้าเก่งขึ้นก็เลื่อนตำแหน่ง เงินเดือนขึ้น

คนบนสุดเล่นเกมแบบนี้:

  • จะถือทรัพย์สินอะไรที่ทำให้เงินงอกเอง

  • จะสร้างโครงสร้างอะไรให้คนทั้งประเทศต้องใช้

  • จะจัดทรัพย์ยังไงให้คงอยู่ได้หลายร้อยปี

  • จะวางตัวเองอยู่ตรงไหนในระบบอำนาจ

เราเล่นเกม “อยู่รอดรายเดือน”
เขาเล่นเกม “ออกแบบระบบให้ตัวเองกินส่วนแบ่งประเทศไปอีกหลายรุ่น”

จะให้ผลลัพธ์เท่ากัน มันเป็นไปไม่ได้เลยตั้งแต่จุดตั้งต้น


แล้วคนธรรมดาควรรู้ไปทำไม ในเมื่อเราเข้าไม่ถึงระบบพวกนี้อยู่ดี?

คำตอบง่าย ๆ คือ

เพื่อจะได้เลิกโทษตัวเองเวลาเปรียบเทียบชีวิตกับเขา

เราไม่ได้แพ้เพราะเรา “ห่วยกว่า”
เราแค่ไม่ได้รับสิทธิ์ให้เข้าไปเล่นบนกระดานแบบเดียวกับเขาเท่านั้นเอง

การเข้าใจ 6 ระบบนี้ช่วยให้เรา:

  • มองภาพโครงสร้างความเหลื่อมล้ำได้ชัดขึ้น

  • ไม่หลงคิดว่าทุกอย่างคือ “ความขยันส่วนตัว” อย่างเดียว

  • ไม่เอาชีวิตตัวเองไปเปรียบกับคนที่เล่นคนละเกม

เราอาจจะไม่สามารถขยับขึ้นไปเป็นเจ้าของประเทศได้
แต่เราทำได้อย่างน้อยสองอย่าง:

  1. เข้าใจเกมให้ชัด ว่าโลกมันไม่ได้แฟร์ตั้งแต่แรก

  2. ออกแบบชีวิตตัวเองบนข้อเท็จจริง แทนที่จะโทษตัวเองอย่างเดียวเวลาไปไม่ถึงฝั่งฝัน

บางที แค่รู้ว่า “เราไม่ได้ห่วย เราแค่ไม่ได้เล่นเกมเดียวกับเขา”
มันก็ทำให้เราหายเกลียดตัวเองไปได้เยอะเหมือนกันนะ

และพอเราหยุดโทษตัวเอง เราก็จะเริ่มมีแรงเหลือ
กลับมาถามคำถามที่สำคัญกว่านั้นแทนว่า

บนกระดานที่เรามีอยู่จริง ๆ นี่แหละ… เราจะเล่นให้มันดีขึ้นกว่านี้ได้ยังไง?

บทวิเคราะห์การยุบสภา 2568: เสียงสะท้อนจากรอยร้าวของการเมืองไทย

จุดเริ่มต้นของความวุ่นวายที่เหมือนจะรู้ตอนจบมาตั้งแต่ต้น การเมืองไทยปีนี้ไม่ใช่แค่ "ตึงเครียด" แต่คือภาพของประเทศที่พยายามเดินบนเ...