บางทีเราเห็นข่าว “คนรวยที่สุดในประเทศ” แล้วก็เผลอถามในใจว่า
เขาทำงานอะไรนักหนา ถึงได้รวยขนาดนั้น?
ถ้าตอบแบบซื่อ ๆ เลยก็คือ — เขาไม่ได้รวยจากการทำงานแบบที่เราทำกันนี่แหละ
คนธรรมดาใช้แรง เวลา และทักษะแลกเงินเดือน
แต่คนรวยระดับบนสุดเขาใช้ “ระบบ” ที่สร้างเงินให้เขาไม่หยุด ถึงแม้เขาไม่ต้องทำอะไรแล้วก็ตาม
บทความนี้อยากชวนค่อย ๆ แกะทีละชั้น ว่า
-
ระบบอะไรบ้างที่ทำให้คนรวย “รวยต่อไปเรื่อย ๆ”
-
ทำไมช่องว่างระหว่างคนธรรมดากับคนบนสุดถึงห่างออกเรื่อย ๆ
-
และทำไมต่อให้เราขยันยังไง… เราก็ไม่ได้เล่นเกมเดียวกับเขาอยู่ดี
ทั้งหมดนี้ขอสรุปเป็น “6 ระบบที่คนธรรมดาเข้าไม่ถึง”
1) ถือ “สินทรัพย์ที่ไม่มีวันแพ้”
คนธรรมดามักถือ
-
เงินฝาก
-
กองทุน
-
บ้านหนึ่งหลัง คอนโดหนึ่งห้อง
แต่คนที่รวยที่สุด มักถือทรัพย์แบบนี้:
-
ที่ดินทั้งย่าน ไม่ใช่แปลงเดียว
-
ที่ดินรอบแลนด์มาร์กสำคัญของเมือง
-
สิทธิการใช้พื้นที่ที่คนทั่วไปไม่มีวันซื้อได้
-
อาคาร สถานที่ หรืออสังหาฯ ที่ติดอยู่กับสัญลักษณ์ของรัฐหรือเมือง
จุดต่างสำคัญ คือ ทรัพย์สินของเขาอยู่ในหมวดที่
-
มีคน “จำเป็นต้องใช้” เสมอ
-
ไม่สามารถสร้างใหม่แข่งได้ (ทำเลมีแค่เท่านี้)
-
มูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามการเติบโตของเมืองและประเทศ
คนธรรมดากลัวเงินเฟ้อ
แต่คนรวยระดับบนสุด ใช้เงินเฟ้อเป็นลมใต้ปีก
เพราะยิ่งของแพง ที่ดินและอสังหาฯ ที่เขาถือก็ยิ่งขึ้นราคาไปด้วย
เราทำงานเก็บเงินเพื่อซื้อบ้านหนึ่งหลัง
เขาซื้อย่านทั้งย่านแล้วปล่อยคนทั้งเมืองมาเช่าพื้นที่คืนให้เขาอีกที
2) ไม่ได้ใช้ “แรงทำงาน” หาเงิน แต่ใช้ “ระบบ” ปั๊มเงิน
คนธรรมดา: ถ้าไม่ทำงาน = ไม่มีเงินเข้า
คนรวยระดับบนสุด: ถ้าไม่ทำงาน = รายได้ยังเข้าปกติ
เพราะเงินมาจาก:
-
ค่าเช่าที่ดินและอาคาร
-
รายได้จากกิจการผูกขาดหรือใกล้ผูกขาด
-
ดอกเบี้ย พันธบัตร และตราสารหนี้ขนาดใหญ่
-
การลงทุนที่ใช้เงินก้อนมหาศาลกดต้นทุนให้ต่ำกว่าคนทั่วไป
ง่าย ๆ คือ เขาไม่ได้ “หาเงิน” แต่เขา ถือสิ่งที่ผลิตเงินได้
ถ้าเปรียบทั้งประเทศเป็นโรงงาน
-
คนธรรมดา = แรงงานกินเงินเดือน
-
คนรวยที่สุด = เจ้าของสายพานทั้งหมดในโรงงาน
ในขณะที่เรายังคิดว่า “ทำโอทีเพิ่มดีไหม”
เขานั่งคุยกันว่า “จะปรับค่าเช่าที่ดินขึ้นอีก 10% ดีไหม”
3) ถือทรัพย์ในนาม “โครงสร้าง” ไม่ใช่ในนาม “คนคนเดียว”
คนธรรมดาถือทรัพย์สินทุกอย่างในชื่อตัวเอง:
-
บ้านในชื่อเรา
-
รถในชื่อเรา
-
ที่ดินในชื่อเรา
พอเป็นชื่อเรา ก็หนีไม่ได้จาก
-
ภาษี
-
ภาระหนี้
-
ความเสี่ยงเวลาโดนฟ้อง หรือมีคดี
แต่คนรวยที่สุด มักใช้รูปแบบอย่างเช่น:
-
มูลนิธิ
-
ทรัสต์
-
องค์กรกึ่งสถาบัน
-
นิติบุคคลที่มีสถานะพิเศษ
ผลลัพธ์คือ:
-
ทรัพย์สินถูกแยกออกจากตัวบุคคล
-
โครงสร้างพวกนี้ไม่ “แก่” ไม่ “ตาย” เหมือนคน
-
ส่งต่อข้ามรุ่นได้โดยไม่ต้องแบ่งย่อยเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
-
ภาษีและกฎระเบียบบางอย่างใช้กับเขาไม่เหมือนกับที่ใช้กับเรา
พูดง่าย ๆ คือ ทรัพย์สินของเขา อายุยืนกว่าเจ้าของ
ตายไปกี่รุ่น ทรัพย์ก็ยังอยู่ และยังทำเงินให้คนรุ่นต่อ ๆ ไปได้เหมือนเดิม
เราทำงานทั้งชีวิตเพื่อซื้อบ้านหนึ่งหลังให้ลูก
เขาสร้างโครงสร้างที่ถือที่ดินได้ทั้งเมืองให้ “ตระกูล” ไปอีก 200 ปี
4) ลงทุนใน “ระบบที่กินส่วนแบ่งประเทศ”
ธุรกิจที่คนส่วนใหญ่ทำ = แข่งกันขายของในตลาดเดียวกัน
แต่ระดับบนสุด เขาไม่ได้เล่นที่ระดับ “ร้านค้า”
เขาไปเล่นที่ระดับ “โครงสร้างของตลาด”
ตัวอย่างเช่น:
-
ระบบขนส่งมวลชน
-
ท่าเรือ สนามบิน ถนนบางเส้น
-
โครงสร้างพื้นฐานใหญ่ ๆ
-
ระบบเช่าพื้นที่ขนาดมหาศาล
-
การถือหุ้นในกิจการที่คนทั้งประเทศต้องใช้
คนทั่วไปเปิดร้านขายของในห้าง
เขาเป็นคนเก็บค่าเช่าทุกร้านในห้าง
คนทั่วไปแข่งกันหาลูกค้าเพิ่มวันละนิด
เขาปรับค่าเช่าขึ้น 5% ก็ได้เงินเพิ่มมากกว่าที่ร้านเล็ก ๆ จะหาได้ทั้งปี
นี่แหละ “ระบบที่กินส่วนแบ่งประเทศ”
เพราะทุกคนใช้ระบบนี้อยู่ แต่เงินไหลกลับไปหาเจ้าของระบบเพียงไม่กี่ราย
5) อำนาจต่อรองที่ไม่ใช่ระดับมนุษย์ทั่วไป
มนุษย์ธรรมดาเวลาเจอรัฐ เจอระบบราชการ = แทบไม่มีเสียงอะไรเลย
แต่คนรวยที่สุด ไม่ได้มีแค่เงินเยอะ เขามี
-
สถานะ
-
สัญลักษณ์
-
บทบาทในโครงสร้างอำนาจ
การ “ขยับนิดเดียว” ของเขา
สามารถกระทบทั้งระบบเศรษฐกิจและสังคมได้
เพราะอะไร?
-
เขาถือทรัพย์สินที่สำคัญต่อภาพรวมของประเทศ
-
เขาเกี่ยวข้องกับเรื่องเชิงสัญลักษณ์ที่แตะยาก
-
เขาถูกผูกเข้ากับตัวตนของประเทศในสายตาคนทั้งในและนอกประเทศ
ผลคือ รัฐเองก็ต้องคำนึงถึงผลกระทบถ้าจะออกกฎหรือทำอะไรที่กระทบทรัพย์สินหรือผลประโยชน์ของเขา
มันไม่ได้เป็นเรื่อง “คนรวยคนหนึ่ง” อีกต่อไป แต่มันไปแตะระดับ “โครงสร้างของระบบ”
เราอาจจะต่อรองได้แค่กับ HR เรื่องเงินเดือนขึ้น 3%
แต่เขาต่อรองในระดับที่ว่า เงื่อนไขบางอย่างของประเทศจะถูกออกแบบยังไง
6) เขาไม่ได้เล่นเกมเดียวกับเราเลยตั้งแต่แรก
ที่สุดแล้ว ความต่างมันไม่ใช่แค่เรื่อง “ใครขยันกว่า” หรือ “ใครเก่งกว่า”
แต่คือ “คนละเกม คนละกระดาน”
คนธรรมดาเล่นเกมแบบนี้:
-
หางานให้ได้
-
เก็บเงินเท่าที่เก็บได้
-
ถ้าเก่งขึ้นก็เลื่อนตำแหน่ง เงินเดือนขึ้น
คนบนสุดเล่นเกมแบบนี้:
-
จะถือทรัพย์สินอะไรที่ทำให้เงินงอกเอง
-
จะสร้างโครงสร้างอะไรให้คนทั้งประเทศต้องใช้
-
จะจัดทรัพย์ยังไงให้คงอยู่ได้หลายร้อยปี
-
จะวางตัวเองอยู่ตรงไหนในระบบอำนาจ
เราเล่นเกม “อยู่รอดรายเดือน”
เขาเล่นเกม “ออกแบบระบบให้ตัวเองกินส่วนแบ่งประเทศไปอีกหลายรุ่น”
จะให้ผลลัพธ์เท่ากัน มันเป็นไปไม่ได้เลยตั้งแต่จุดตั้งต้น
แล้วคนธรรมดาควรรู้ไปทำไม ในเมื่อเราเข้าไม่ถึงระบบพวกนี้อยู่ดี?
คำตอบง่าย ๆ คือ
เพื่อจะได้เลิกโทษตัวเองเวลาเปรียบเทียบชีวิตกับเขา
เราไม่ได้แพ้เพราะเรา “ห่วยกว่า”
เราแค่ไม่ได้รับสิทธิ์ให้เข้าไปเล่นบนกระดานแบบเดียวกับเขาเท่านั้นเอง
การเข้าใจ 6 ระบบนี้ช่วยให้เรา:
-
มองภาพโครงสร้างความเหลื่อมล้ำได้ชัดขึ้น
-
ไม่หลงคิดว่าทุกอย่างคือ “ความขยันส่วนตัว” อย่างเดียว
-
ไม่เอาชีวิตตัวเองไปเปรียบกับคนที่เล่นคนละเกม
เราอาจจะไม่สามารถขยับขึ้นไปเป็นเจ้าของประเทศได้
แต่เราทำได้อย่างน้อยสองอย่าง:
-
เข้าใจเกมให้ชัด ว่าโลกมันไม่ได้แฟร์ตั้งแต่แรก
-
ออกแบบชีวิตตัวเองบนข้อเท็จจริง แทนที่จะโทษตัวเองอย่างเดียวเวลาไปไม่ถึงฝั่งฝัน
บางที แค่รู้ว่า “เราไม่ได้ห่วย เราแค่ไม่ได้เล่นเกมเดียวกับเขา”
มันก็ทำให้เราหายเกลียดตัวเองไปได้เยอะเหมือนกันนะ
และพอเราหยุดโทษตัวเอง เราก็จะเริ่มมีแรงเหลือ
กลับมาถามคำถามที่สำคัญกว่านั้นแทนว่า
บนกระดานที่เรามีอยู่จริง ๆ นี่แหละ… เราจะเล่นให้มันดีขึ้นกว่านี้ได้ยังไง?