วันจันทร์, ตุลาคม 14, 2567

การแยกสายของธรรมยุติออกจากมหานิกาย ทำไมถึงไม่ใช่อนันตริยกรรม

บันทึกการสนทนาระหว่างข้าพเจ้ากับ ChatGPT ในประเด็นที่สงสัยมานานเกี่ยวกับการแยกสายของธรรมยุติออกจากมหานิกาย ทำไมถึงไม่ใช่อนันตริยกรรม


ศาสนาพุทธมีกี่นิกาย


ศาสนาพุทธแบ่งออกเป็นหลายสายนิกาย ซึ่งหลัก ๆ สามารถแบ่งได้เป็น 3 นิกายใหญ่ ๆ ดังนี้:


เถรวาท (Theravada)

เป็นนิกายที่ยึดถือคำสอนและการปฏิบัติที่ใกล้เคียงกับพระพุทธเจ้าในยุคแรกสุด ปฏิบัติตามพระไตรปิฎกที่เป็นภาษาไทยและภาษาบาลี ส่วนใหญ่นิกายนี้พบได้ในประเทศไทย ศรีลังกา พม่า ลาว และกัมพูชา


มหายาน (Mahayana)

เป็นนิกายที่เปิดกว้างในการตีความคำสอนของพระพุทธเจ้าและยอมรับพระสูตรที่เพิ่มเติมหลังจากยุคพุทธกาล เช่น สุขาวดี สัทธรรมปุณฑริกสูตร และอื่น ๆ นิกายนี้แพร่หลายในจีน ญี่ปุ่น เกาหลี เวียดนาม และทิเบต


วัชรยาน (Vajrayana)

เป็นนิกายที่มีการปฏิบัติแบบตันตระ รวมถึงการใช้พิธีกรรมและคาถาเชิงสัญลักษณ์ มีอิทธิพลมากในภูมิภาคทิเบต ภูฏาน และมองโกเลีย นอกจากนี้ยังเรียกว่าพุทธตันตระ


นอกจาก 3 นิกายหลักนี้ ยังมีนิกายย่อยและกลุ่มที่แตกต่างกันไปตามประเพณีท้องถิ่นและการปฏิบัติของแต่ละพื้นที่ เช่น นิชิเร็นในญี่ปุ่น และเซน


ในไทยมีนิกายย่อย

ในประเทศไทย ศาสนาพุทธส่วนใหญ่เป็น เถรวาท แต่ภายในนิกายเถรวาทในไทยก็มีการแบ่งเป็นสายย่อยหรือกลุ่มคณะสงฆ์ที่ปฏิบัติแตกต่างกันไปบ้างตามแนวทางการปฏิบัติหรือประเพณีของคณะสงฆ์นั้น ๆ แม้จะไม่มีการแบ่งแยกชัดเจนเหมือนนิกายมหายานหรือวัชรยาน แต่ก็ยังมีการจัดกลุ่มออกเป็นสายปฏิบัติต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น:


ธรรมยุติกนิกาย

ก่อตั้งขึ้นโดยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส (เจ้าฟ้ามงกุฎ พระนามในพระองค์ก่อนที่จะขึ้นครองราชย์เป็นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ธรรมยุติกนิกายเน้นความเคร่งครัดในระเบียบพระวินัยและการปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างใกล้ชิด มักพบในวัดที่เน้นการศึกษาพระธรรมและปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด


มหานิกาย

เป็นคณะสงฆ์ที่มีจำนวนมากที่สุดในประเทศไทย มาจากการพัฒนาการของศาสนาพุทธที่สืบทอดมาในสมัยกรุงศรีอยุธยาและกรุงรัตนโกสินทร์ มหานิกายมีความหลากหลายในการปฏิบัติและการตีความศาสนา มีการจัดสอนและการปฏิบัติธรรมที่ค่อนข้างเปิดกว้าง


นอกจากนี้ ในไทยยังมีสายปฏิบัติที่เน้นการปฏิบัติสมาธิวิปัสสนา เช่น:


สายพระป่า (วัดป่า)

เป็นกลุ่มคณะสงฆ์ที่มุ่งเน้นการปฏิบัติธรรมในรูปแบบของการเจริญสมาธิและวิปัสสนา สายนี้มีชื่อเสียงมากในภาคอีสาน เช่น วัดป่าบ้านตาด ซึ่งมีพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เป็นผู้วางแนวทางและเผยแพร่


สายหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ

เป็นสายปฏิบัติธรรมที่เน้นการปฏิบัติธรรมตามแนวทางของหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ โดยเฉพาะการปฏิบัติสมาธิในแนวทางธรรมกาย


แม้การแบ่งสายเหล่านี้จะไม่ได้เป็น "นิกาย" อย่างเป็นทางการ แต่ก็สะท้อนถึงแนวทางการปฏิบัติธรรมและความเชื่อที่แตกต่างกันในแต่ละกลุ่ม


อย่างนี้การแยกตัวออกมาเป็นสายธรรมยุติ จะไม่ถือว่าผิดอนันตริยกรรมเรื่องการแบ่งแยกหมู่สงฆ์เหรอ

การแยกตัวออกมาเป็นสายธรรมยุติกนิกายไม่ได้ถือว่าเป็นการทำ อนันตริยกรรม เรื่องการแบ่งแยกหมู่สงฆ์ เนื่องจากเจตนาและบริบทที่เกิดขึ้นในการก่อตั้งธรรมยุติกนิกายแตกต่างจากการ "แตกแยกหมู่สงฆ์" อย่างแท้จริง


การทำอนันตริยกรรมในกรณีของการแตกแยกหมู่สงฆ์

อนันตริยกรรม (บาปหนักที่สุด) เกิดจากเจตนาแบ่งแยกหมู่สงฆ์ด้วยความขัดแย้งหรือความไม่ลงรอยกันทางศาสนาโดยตั้งใจสร้างความแตกแยกในชุมชนสงฆ์ ซึ่งในพุทธประวัติการแตกแยกหมู่สงฆ์เกิดจากการสร้างความขัดแย้งขึ้นในพระพุทธศาสนาทำให้เกิดความร้าวฉานและความเสียหายต่อความเป็นปึกแผ่นของชุมชนสงฆ์


การก่อตั้งธรรมยุติกนิกาย

ธรรมยุติกนิกายถูกก่อตั้งขึ้นในช่วงรัชกาลที่ 4 (ขณะยังเป็นเจ้าฟ้ามงกุฎ) ด้วยเจตนาที่จะฟื้นฟูการปฏิบัติธรรมตามพระธรรมวินัยที่เคร่งครัดมากขึ้น ไม่ใช่เพราะความขัดแย้งหรือความไม่พอใจต่อคณะสงฆ์ดั้งเดิม พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพบว่ามีความหลวมหลุดในการปฏิบัติของสงฆ์ในช่วงเวลานั้น พระองค์จึงได้ส่งเสริมการปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัดในกลุ่มพระสงฆ์ที่สนใจปฏิบัติตามแนวทางดังกล่าว การตั้งธรรมยุติกนิกายจึงเกิดจากการยกระดับการปฏิบัติธรรมมากกว่าการแตกแยกจากหมู่สงฆ์เดิม


นอกจากนี้ พระธรรมวินัยยังเปิดโอกาสให้มีความหลากหลายในแนวทางปฏิบัติ โดยที่ไม่มีข้อห้ามเรื่องการจัดกลุ่มคณะสงฆ์ตามแนวทางการปฏิบัติที่แตกต่างกัน ตราบใดที่ไม่มีเจตนาในการสร้างความขัดแย้งหรือแตกแยกพระสงฆ์ออกจากกัน


สรุป

การก่อตั้งธรรมยุติกนิกายจึงไม่ถือว่าเป็นการทำอนันตริยกรรม เพราะไม่มีเจตนาที่จะทำให้เกิดการแตกแยกหมู่สงฆ์ด้วยความขัดแย้งหรือความไม่ลงรอยในศาสนา


ไม่นะ อ่านยังไงก็เป็นการแยกอุโบสถ แยกกันสวด แยกกันปฏิบัติ จะไม่ใช่ได้อย่างไร

คำถามของคุณมีความละเอียดอ่อนในประเด็นทางศาสนาและวินัยสงฆ์ คำว่า "แยกอุโบสถ" และการแยกกันสวดหรือปฏิบัติจริง ๆ อาจทำให้มองว่าเป็นการแบ่งแยกหมู่สงฆ์ แต่ถ้าพิจารณาในแง่ของ เจตนา และ บริบททางประวัติศาสตร์ การตั้งนิกายธรรมยุติกนิกายในสมัยรัชกาลที่ 4 มีความแตกต่างจากการ "แตกแยกหมู่สงฆ์" ที่ถือว่าเป็นอนันตริยกรรม ซึ่งมักเกิดจากความขัดแย้งและการสร้างความเสียหายต่อความเป็นปึกแผ่นของพระพุทธศาสนา


1. เจตนาในการก่อตั้ง

ธรรมยุติกนิกายถูกก่อตั้งขึ้นโดยมีเจตนาที่จะ ฟื้นฟูการปฏิบัติที่เคร่งครัด มากกว่าที่จะสร้างความขัดแย้ง การแยกกันสวดหรือปฏิบัติในที่นี้ไม่ได้มีเจตนาแบ่งแยกหมู่สงฆ์ด้วยความบาดหมาง แต่เป็นการแยกตัวเพื่อเน้นย้ำการปฏิบัติที่เคร่งครัดตามพระธรรมวินัยตามที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นว่ามีความจำเป็นในยุคนั้น การแยกปฏิบัติเช่นนี้ไม่ใช่เพื่อสร้างความร้าวฉานในหมู่สงฆ์ แต่เพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของพระธรรมวินัย


2. บริบททางประวัติศาสตร์

ในสมัยรัชกาลที่ 4 พระพุทธศาสนาในไทยมีความเปลี่ยนแปลงจากยุคเดิม พระสงฆ์ในสมัยนั้นมีความหลวมหลุดในพระธรรมวินัยบางประการ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในขณะนั้น (ก่อนจะขึ้นครองราชย์) ทรงศึกษาพระไตรปิฎกและพบว่าการปฏิบัติของสงฆ์มีการเบี่ยงเบนจากหลักพระวินัยในบางแง่มุม พระองค์จึงตั้งกลุ่มสงฆ์ที่ต้องการฟื้นฟูการปฏิบัติที่เคร่งครัด ซึ่งเป็นที่มาของธรรมยุติกนิกาย


3. ความแตกต่างระหว่างการแยกกันปฏิบัติกับการแตกแยกหมู่สงฆ์

แม้ว่าจะมีการแยกการปฏิบัติและการสวดในกลุ่มของธรรมยุติกนิกาย แต่หากพิจารณาถึง อนันตริยกรรม ในการแตกแยกหมู่สงฆ์นั้น มักหมายถึงการสร้างความขัดแย้งโดยตรงในหมู่สงฆ์ เช่น การทะเลาะเบาะแว้ง หรือการต่อต้านกันอย่างรุนแรงในหมู่สงฆ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดจาก เจตนาไม่ดี ที่จะทำลายความเป็นเอกภาพในศาสนา


สำหรับธรรมยุติกนิกาย แม้จะมีการแยกกันสวดและปฏิบัติ แต่ไม่ได้มีเจตนาสร้างความแตกแยกในศาสนา หรือทำให้เกิดความบาดหมางในหมู่สงฆ์ แต่เป็นการตั้งกลุ่มที่ต้องการปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดตามพระธรรมวินัย ดังนั้น ในแง่ของเจตนาจึงไม่ถือว่าเป็นการกระทำอนันตริยกรรม


4. การยอมรับของคณะสงฆ์ไทย

การก่อตั้งธรรมยุติกนิกายในยุคต่อมาได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการจากคณะสงฆ์ไทย และไม่มีการต่อต้านในระดับที่ถือว่าเป็นการแตกแยกหมู่สงฆ์อย่างแท้จริง ดังนั้น แม้ว่าจะมีการแยกกันปฏิบัติ แต่ในทางปฏิบัติคณะสงฆ์ไทยก็ยังถือว่าเป็นกลุ่มเดียวกันภายใต้การกำกับดูแลของพระมหาเถรสมาคม


สรุป

แม้จะมีการแยกอุโบสถหรือแยกการปฏิบัติในกรณีของธรรมยุติกนิกาย แต่การแยกนี้เกิดจากเจตนาฟื้นฟูพระธรรมวินัยมากกว่าการสร้างความขัดแย้งในหมู่สงฆ์ ซึ่งแตกต่างจากการกระทำที่เป็นอนันตริยกรรม


แล้วต่างจากสมัยพระเทวทัตตรงไหน เขาก็แยกหมู่ออกจากพระพุทธเจ้าเพราะอยากจะทำวินัยให้เคร่งครัดกว่าเหมือนกัน

คำถามของคุณน่าสนใจมาก และเป็นจุดที่ทำให้เราเห็นความแตกต่างที่สำคัญระหว่างการกระทำของ พระเทวทัต กับการก่อตั้ง ธรรมยุติกนิกาย ในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยแม้ว่าทั้งสองกรณีจะเกี่ยวข้องกับการเรียกร้องให้ปฏิบัติเคร่งครัด แต่เจตนาและผลที่ตามมานั้นแตกต่างกันมาก


ความแตกต่างระหว่างกรณีของพระเทวทัตและธรรมยุติกนิกาย

เจตนาเบื้องหลังการแยกหมู่

พระเทวทัตมีเจตนา แข่งขันเพื่ออำนาจ และต้องการสร้างความแตกแยกในหมู่สงฆ์โดยเฉพาะการแยกตัวออกจากพระพุทธเจ้า พระเทวทัตพยายามจะขึ้นเป็นผู้นำสงฆ์แทนพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นการกระทำที่เจตนา แยกจากความสามัคคี ในศาสนาโดยมี ความทะเยอทะยานส่วนตัว แฝงอยู่


ในทางตรงกันข้าม พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ในขณะที่ยังเป็นเจ้าฟ้ามงกุฎ) ทรงไม่มีเจตนาแย่งชิงอำนาจหรือสร้างความขัดแย้งภายในพระสงฆ์ การก่อตั้งธรรมยุติกนิกายเกิดขึ้นเพื่อฟื้นฟูการปฏิบัติธรรมที่พระองค์ทรงเห็นว่าควรจะปฏิบัติอย่างถูกต้องตามพระวินัย และไม่ได้มีเจตนาที่จะทำลายเอกภาพของพระพุทธศาสนา


วิธีการและการกระทำ

พระเทวทัตเสนอการปฏิบัติที่เคร่งครัดกว่า ซึ่งประกอบด้วย 5 ข้อ ที่มีการกำหนดเกินความจำเป็นและ ขัดกับหลักของพระพุทธเจ้า โดยตรง พระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุมัติให้ใช้ข้อปฏิบัติที่เกินความสมควรเช่นนั้น (เช่น ห้ามฉันเนื้อสัตว์ ห้ามนอนในที่มีหลังคา ฯลฯ) เพราะทรงเห็นว่าข้อปฏิบัติดังกล่าวเป็นการปฏิบัติเกินขอบเขตของพระวินัย และไม่ได้ทำให้เกิดการปฏิบัติธรรมที่ดียิ่งขึ้น


ในกรณีของธรรมยุติกนิกาย ไม่มีการนำเสนอกฎเกณฑ์ที่ขัดต่อพระธรรมวินัย แต่เน้นที่การปฏิบัติธรรมตามพระธรรมวินัยดั้งเดิมในพระไตรปิฎก และปฏิบัติด้วยความเคร่งครัดในการรักษาศีลและพระวินัยที่มีอยู่แล้ว ไม่ได้มีการเสนอวินัยใหม่ที่เกินความจำเป็น


ผลกระทบต่อสังคมสงฆ์และศาสนา

การกระทำของพระเทวทัตทำให้เกิดความแตกแยกในหมู่สงฆ์อย่างรุนแรง เนื่องจากมีพระภิกษุบางส่วนแยกตัวตามพระเทวทัต ซึ่งทำให้พระพุทธเจ้าต้องทรงจัดการกับความขัดแย้งนี้โดยตรง ในที่สุดพระเทวทัตได้รับผลกรรมและไม่ได้รับการยอมรับจากหมู่สงฆ์


ส่วนการก่อตั้งธรรมยุติกนิกายในสมัยรัชกาลที่ 4 ไม่ได้สร้างความแตกแยกเชิงบาดหมางภายในคณะสงฆ์ แต่ได้รับการยอมรับจากคณะสงฆ์ในยุคต่อมา และในที่สุดก็กลายเป็นคณะสงฆ์หนึ่งที่ปฏิบัติอยู่ในประเทศไทยโดยสงบ ไม่มีผลกระทบในเชิงลบที่สร้างความร้าวฉานในชุมชนสงฆ์ไทย


การยอมรับในภายหลัง

การกระทำของพระเทวทัตไม่เคยได้รับการยอมรับจากพระพุทธเจ้าและสังคมสงฆ์ เพราะเป็นการกระทำที่มีเจตนาสร้างความแตกแยกและแย่งชิงอำนาจ ในขณะที่ธรรมยุติกนิกายได้รับการยอมรับในทางกฎหมายและการปกครองสงฆ์ไทยโดยไม่เกิดความขัดแย้งทางวินัยสงฆ์ที่รุนแรง


สรุป

แม้การแยกตัวออกมาจะดูคล้ายคลึงกันในบางแง่มุม แต่ความแตกต่างสำคัญอยู่ที่ เจตนา และ การกระทำ ที่ตามมา การแยกตัวของพระเทวทัตเกิดจากเจตนาสร้างความขัดแย้งและทะเยอทะยานส่วนตัว ในขณะที่การก่อตั้งธรรมยุติกนิกายมุ่งเน้นการฟื้นฟูการปฏิบัติธรรมที่เคร่งครัดตามพระธรรมวินัย


ถ้าธรรมยุติดีกว่า แล้วทำไมไม่เปลี่ยนมหานิกายทั้งหมดที่ย่อหย่อนให้เคร่งครัดเป็นธรรมยุติให้หมด

การที่มหานิกายและธรรมยุติกนิกายดำรงอยู่ควบคู่กันในประเทศไทยนั้น เป็นผลมาจาก การยอมรับความหลากหลาย ในการปฏิบัติธรรมภายใต้กรอบของพระธรรมวินัย ทั้งนี้แม้ธรรมยุติกนิกายจะเน้นการปฏิบัติที่เคร่งครัด แต่การ ไม่เปลี่ยนมหานิกายทั้งหมดให้กลายเป็นธรรมยุติ มีเหตุผลหลายประการ ซึ่งสะท้อนถึงการเคารพในความแตกต่างและความเหมาะสมกับบริบททางสังคมและศาสนาในประเทศไทย


1. ความหลากหลายในวิธีปฏิบัติ

ในพุทธศาสนา โดยเฉพาะในเถรวาท มีความยืดหยุ่น ในการปฏิบัติเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพสังคมและความเป็นอยู่ของแต่ละพื้นที่ แม้ว่ามหานิกายอาจถูกมองว่า "ย่อหย่อน" ในบางแง่มุมเมื่อเทียบกับธรรมยุติกนิกาย แต่มหานิกายก็ยังคงรักษาหลักพระธรรมวินัยตามกรอบของพุทธศาสนาได้อย่างครบถ้วน การปฏิบัติของมหานิกายจึงสอดคล้องกับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวพุทธในประเทศไทยอย่างกว้างขวางกว่า และไม่ได้ถือว่าผิดหลักธรรมแต่อย่างใด


การปฏิบัติที่แตกต่างกันระหว่างธรรมยุติกับมหานิกายสะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายของแนวทางปฏิบัติศาสนา ซึ่งช่วยให้ชาวพุทธแต่ละคนสามารถเลือกปฏิบัติธรรมตามความสะดวกและเหมาะสมกับชีวิตของตน


2. การเคารพในประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม

มหานิกายเป็นคณะสงฆ์ที่มีรากฐานมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา และยังคงเป็นสายหลักที่มีความสำคัญในการส่งต่อพระพุทธศาสนาในประเทศไทย การยอมรับในความแตกต่างทางการปฏิบัติของมหานิกายและธรรมยุติกนิกายเป็นการ รักษาวัฒนธรรมทางศาสนา ที่มีมานาน การบังคับให้มหานิกายทั้งหมดเปลี่ยนเป็นธรรมยุติอาจทำให้สูญเสียเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและความสัมพันธ์ที่ชาวพุทธไทยมีต่อวัดและการปฏิบัติธรรมของตน


3. การปฏิบัติที่ยืดหยุ่นเพื่อตอบสนองความต้องการของคนในสังคม

มหานิกายมีการปฏิบัติที่ยืดหยุ่นในบางด้าน เช่น การบวชเณรหรือการปฏิบัติธรรมที่ไม่เคร่งครัดเท่าธรรมยุติ ซึ่งทำให้ชาวพุทธสามารถเข้าถึงพระพุทธศาสนาได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้เพราะบางคนอาจไม่พร้อมที่จะปฏิบัติตามระเบียบที่เคร่งครัดแบบธรรมยุติ การให้คนในสังคมมีทางเลือกในการปฏิบัติธรรมตามความเหมาะสมกับตนเองจึงช่วยให้ศาสนาพุทธยังคงเป็นศาสนาที่คนสามารถเข้าถึงและปฏิบัติได้ในชีวิตประจำวัน


4. การไม่บังคับให้ทุกคนต้องปฏิบัติเหมือนกัน

พระพุทธศาสนาเน้นเรื่อง ความยืดหยุ่นในการปฏิบัติธรรม ซึ่งไม่จำเป็นต้องบังคับให้ทุกคนปฏิบัติเหมือนกันหมด แม้ธรรมยุติกนิกายจะเน้นการเคร่งครัด แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นมาตรฐานที่ทุกคนต้องปฏิบัติตาม ความสามารถในการเลือกแนวทางปฏิบัติธรรมตามที่ตนสบายใจหรือเหมาะสมกับชีวิตของแต่ละบุคคลเป็นสิ่งสำคัญในการคงความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาและผู้คน


5. การยอมรับนิกายทั้งสองจากสังคมสงฆ์ไทย

ปัจจุบันคณะสงฆ์ไทยยอมรับทั้งมหานิกายและธรรมยุติกนิกายเป็นส่วนหนึ่งของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย แม้ว่าจะมีความแตกต่างในการปฏิบัติ แต่ทั้งสองนิกายยังคงมี บทบาทสำคัญ ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา และไม่มีการบังคับให้สายหนึ่งดีกว่าอีกสายหนึ่ง คณะสงฆ์ไทยมีระบบการบริหารที่ครอบคลุมทั้งสองนิกาย และพยายามรักษาสมดุลระหว่างความเคร่งครัดและความยืดหยุ่น


สรุป

การไม่บังคับให้มหานิกายทั้งหมดเปลี่ยนเป็นธรรมยุติกนิกายเป็นการแสดงถึง ความเคารพต่อความหลากหลายทางวัฒนธรรมและการปฏิบัติธรรม ในพุทธศาสนา แม้ว่าธรรมยุติกนิกายจะเน้นความเคร่งครัด แต่มหานิกายก็ยังคงมีบทบาทสำคัญในพระพุทธศาสนา และการยอมรับความแตกต่างนี้ช่วยให้พระพุทธศาสนายังคงเป็นที่ยอมรับและเข้าถึงได้สำหรับคนไทยทุกชนชั้น

วันอาทิตย์, ตุลาคม 13, 2567

ปัญหาโครงสร้างสังคม การแก้ไข และการทำนายอนาคตของมนุษย์ในอีก 500 ปี

ลองชวน ChatGPT คุยเกี่ยวกับปัญหาโครงสร้างสังคมในปัจจุบัน และชวนให้ทำนายถึงอนาคตอันยาวไกล ออกมาสนุกดีอยู่ เลยเอามาลงเพื่อบันทึกไว้


ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน:

1. ราคาอสังหาริมทรัพย์สูงขึ้น: ทำให้การซื้อบ้านหรือที่อยู่อาศัยสำหรับคนรุ่นใหม่ยากขึ้น ส่งผลให้การสร้างครอบครัวล่าช้าและยากขึ้นตามไปด้วย

2. การลดลงของอัตราการเกิด: ด้วยภาระทางการเงินที่เพิ่มขึ้น ทำให้หลายครอบครัวตัดสินใจมีลูกน้อยลงหรือละเว้นการมีลูกโดยสิ้นเชิง

3. ความขัดแย้งในครอบครัวเกี่ยวกับทรัพย์สิน: เมื่อผู้ชายย้ายเข้ามาอยู่บ้านฝ่ายหญิงหรือครอบครัวต้องแบ่งมรดก สมบัติเก่า สิ่งนี้อาจทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างคนรุ่นใหม่

4. การขาดแคลนแรงงานในอนาคต: หากอัตราการเกิดลดลงอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลให้ประชากรวัยทำงานลดลง ทำให้ขาดแรงงานและส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ

5. ภาระการดูแลผู้สูงอายุ: เนื่องจากจำนวนประชากรผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น การดูแลผู้สูงอายุจะกลายเป็นภาระหนักสำหรับคนรุ่นใหม่ ซึ่งอาจส่งผลให้การวางแผนการเงินและการสร้างครอบครัวยากขึ้นไปอีก

ในอดีต สังคมมีโครงสร้างและปัจจัยที่แตกต่างจากปัจจุบันอย่างมาก จึงทำให้ปัญหาที่เราเห็นในยุคนี้ เช่น ปัญหาราคาอสังหาริมทรัพย์สูงและการลดลงของอัตราการเกิด ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่ในสมัยนั้น ด้วยเหตุผลต่างๆ เช่น:

1. โครงสร้างครอบครัวและสังคมที่แตกต่าง:

ในอดีต ครอบครัวมักอยู่รวมกันเป็นครอบครัวใหญ่ มีหลายรุ่นอยู่ในบ้านเดียวกัน หรือไม่ก็อยู่ใกล้ชิดกัน ทำให้การช่วยเหลือกันเป็นไปอย่างง่ายดาย และไม่ต้องพึ่งพาทรัพยากรมากนัก

การมีลูกมากถือเป็นเรื่องธรรมดาและจำเป็น เพราะลูกหลานช่วยทำงานในครอบครัวและการทำเกษตร ซึ่งเป็นอาชีพหลักในสังคมไทยสมัยก่อน การมีคนในครอบครัวมากถือเป็นทรัพยากรสำคัญ

2. ราคาอสังหาริมทรัพย์ไม่สูงเท่าในปัจจุบัน:

ที่ดินและบ้านเรือนในอดีตมักจะถูกสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ทำให้ไม่จำเป็นต้องซื้อบ้านใหม่ และที่ดินมักมีราคาไม่สูงเท่ากับปัจจุบัน สภาพเศรษฐกิจยังไม่พัฒนาสูงจนมีการแย่งชิงอสังหาริมทรัพย์เช่นทุกวันนี้

ในชนบท ที่ดินมีราคาถูกและไม่มีความต้องการย้ายเข้าเมืองใหญ่เหมือนในปัจจุบัน การทำเกษตรเป็นหลักหมายถึงการใช้ที่ดินจำนวนมาก ซึ่งเป็นไปได้ง่ายกว่า

3. ค่านิยมเรื่องการมีลูกและการแต่งงาน:

ในอดีต การแต่งงานและการมีลูกหลายคนถือเป็นหน้าที่และค่านิยมที่สำคัญ การไม่มีลูกหรือมีน้อยคนมักถูกมองว่าไม่สามารถรับผิดชอบครอบครัวได้ ดังนั้น ผู้คนจึงมีแนวโน้มที่จะมีลูกมากกว่าปัจจุบัน แม้จะมีทรัพยากรจำกัดก็ตาม

นอกจากนี้ ค่านิยมทางสังคมเรื่องการแบ่งแยกบทบาททางเพศยังค่อนข้างชัดเจน ผู้ชายเป็นผู้หาเลี้ยง ผู้หญิงเป็นผู้ดูแลบ้าน ทำให้ครอบครัวมีบทบาทที่ชัดเจน และไม่จำเป็นต้องเผชิญกับความกดดันทางเศรษฐกิจแบบยุคนี้

4. ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูเด็กต่ำกว่าปัจจุบัน:

ในอดีต ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูเด็กต่ำมาก เพราะไม่ต้องการทรัพยากรหรูหราเหมือนในยุคปัจจุบัน เช่น ค่าเรียนพิเศษ ค่าเทคโนโลยี ค่าใช้จ่ายในกิจกรรมเสริมพัฒนาการต่างๆ การเลี้ยงลูกใช้เพียงการดำเนินชีวิตประจำวันแบบเรียบง่ายเท่านั้น

โรงเรียนรัฐหรือการศึกษาสาธารณะมักได้รับการสนับสนุนจากรัฐ ทำให้ค่าใช้จ่ายในการศึกษาไม่ได้สูงมาก

5. การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี:

สมัยก่อนเศรษฐกิจส่วนใหญ่เป็นเศรษฐกิจเกษตรกรรม ซึ่งต้องอาศัยแรงงานครอบครัวเป็นหลัก การทำงานมักอยู่ในพื้นที่เดียวกันและไม่ต้องย้ายถิ่นฐานไปที่อื่นบ่อย การที่เทคโนโลยียังไม่เจริญรุ่งเรืองมากก็ทำให้วิถีชีวิตไม่ซับซ้อนเหมือนในปัจจุบัน

ในปัจจุบัน การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจดิจิทัล ทำให้ต้องการทักษะใหม่ๆ และต้องย้ายถิ่นฐานมาอยู่ในเมืองที่มีโอกาสทางอาชีพมากกว่า แต่ก็มาพร้อมกับภาระค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น

6. การปรับเปลี่ยนบทบาทของผู้หญิงในสังคม:

ในอดีต ผู้หญิงมักมีบทบาทสำคัญในการดูแลบ้านและเลี้ยงลูกเป็นหลัก แต่ในปัจจุบัน ผู้หญิงมีโอกาสในการทำงานและการศึกษาเพิ่มขึ้น ทำให้ต้องเลื่อนการแต่งงานและการมีลูกออกไป

การต้องทำงานและเลี้ยงดูครอบครัวพร้อมกันทำให้ผู้หญิงยุคใหม่มักตัดสินใจมีลูกน้อยลง หรือไม่แต่งงานเลย เพื่อคงความเป็นอิสระทางการเงินและชีวิต

จากแนวโน้มที่เห็นในปัจจุบัน หากปัญหาต่างๆ เช่น อัตราการเกิดต่ำ ราคาที่อยู่อาศัยสูง การขาดแคลนแรงงาน และภาระในการดูแลผู้สูงอายุยังคงดำเนินต่อไปโดยไม่มีการแก้ไขที่มีประสิทธิภาพ อนาคตของสังคมอาจมีลักษณะดังนี้:

1. ประชากรลดลงและสังคมผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น:

สังคมจะกลายเป็นสังคมที่ผู้สูงอายุมีสัดส่วนมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากคนรุ่นใหม่มีลูกน้อยลงและอายุขัยเฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้น ภาระในการดูแลผู้สูงอายุจะตกอยู่ที่จำนวนประชากรวัยทำงานที่น้อยลง ส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม

สัดส่วนประชากรผู้สูงอายุที่มากขึ้นอาจนำไปสู่การสร้างนโยบายเพื่อดูแลผู้สูงอายุที่ดีขึ้น เช่น การพัฒนาระบบสุขภาพและสวัสดิการ การส่งเสริมธุรกิจที่เน้นดูแลผู้สูงอายุ รวมถึงการสร้างชุมชนหรือที่อยู่อาศัยเฉพาะสำหรับผู้สูงอายุ

2. การขาดแคลนแรงงาน:

อัตราการเกิดต่ำทำให้แรงงานวัยหนุ่มสาวมีจำนวนลดลง ซึ่งส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ เนื่องจากขาดแรงงานในการขับเคลื่อนการผลิตและบริการ

บริษัทและอุตสาหกรรมอาจต้องพึ่งพาแรงงานต่างชาติหรือใช้เทคโนโลยีทดแทน เช่น หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน

การลงทุนใน AI และเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในทุกอุตสาหกรรมจะเป็นเรื่องสำคัญ และอาจเป็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ

3. การเปลี่ยนแปลงในรูปแบบครอบครัวและการใช้ชีวิต:

รูปแบบครอบครัวจะเปลี่ยนไปจากครอบครัวขยายสู่ครอบครัวเดี่ยวหรือแม้กระทั่งครอบครัวที่ไม่มีลูก ซึ่งเป็นผลมาจากการที่คนรุ่นใหม่เลือกที่จะไม่มีลูกเพื่อรักษาความเป็นอิสระทางการเงินและชีวิตส่วนตัว

การแต่งงานและการสร้างครอบครัวอาจกลายเป็นเรื่องที่น้อยลง และการอยู่คนเดียวหรืออยู่เป็นคู่โดยไม่มีลูกจะกลายเป็นเรื่องธรรมดามากขึ้นในสังคม

คนรุ่นใหม่อาจหันไปเน้นการลงทุนในประสบการณ์ชีวิต เช่น การท่องเที่ยว การศึกษา และการพัฒนาตนเองมากกว่าการสร้างครอบครัวแบบเดิม

4. การขยายตัวของเมืองและพื้นที่ชนบทที่ลดลง:

เมืองใหญ่จะกลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและมีประชากรหนาแน่นมากขึ้น ส่วนพื้นที่ชนบทหรือเมืองเล็กๆ จะลดจำนวนประชากรลง ซึ่งทำให้พื้นที่เหล่านี้ถูกละทิ้งหรือกลายเป็นที่อยู่อาศัยของผู้สูงอายุที่ไม่ต้องการย้ายมาอยู่ในเมือง

การขยายตัวของเมืองอาจนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของราคาที่อยู่อาศัยในเมืองใหญ่ และทำให้คนรุ่นใหม่ต้องหาทางเลือกในการอยู่อาศัยที่ไกลออกไป

5. การเปลี่ยนแปลงในตลาดแรงงาน:

ตลาดแรงงานอาจมีความต้องการทักษะที่สูงขึ้น เพราะงานที่ซับซ้อนและต้องการความคิดสร้างสรรค์จะเป็นที่ต้องการมากขึ้น ในขณะที่งานง่ายๆ หรือที่ไม่ต้องการทักษะสูงจะถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยี

การทำงานจากระยะไกล (remote working) อาจกลายเป็นเรื่องปกติมากขึ้น ซึ่งช่วยลดความจำเป็นในการย้ายเข้าเมือง และอาจช่วยแก้ปัญหาการขยายตัวของเมืองได้บ้าง

การย้ายถิ่นฐานของแรงงานต่างชาติอาจเพิ่มมากขึ้นในบางประเทศที่ต้องการแรงงานเสริม เช่น การรับแรงงานจากประเทศที่มีประชากรเยอะเพื่อเข้ามาเสริมกำลังในอุตสาหกรรมต่างๆ

6. การพัฒนานโยบายและการสนับสนุนจากภาครัฐ:

หากภาครัฐเห็นความสำคัญของปัญหานี้ ก็อาจมีนโยบายที่ส่งเสริมการมีลูกมากขึ้น เช่น การให้เงินสนับสนุน การลดหย่อนภาษี หรือการจัดสวัสดิการที่เอื้อต่อครอบครัวใหม่

การพัฒนาระบบการศึกษาและสุขภาพที่มีคุณภาพและเข้าถึงง่ายเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดภาระของคนรุ่นใหม่ในการมีครอบครัว

นโยบายการวางผังเมืองและการจัดการที่อยู่อาศัยในเมืองใหญ่ต้องได้รับการพัฒนาขึ้น เพื่อสร้างพื้นที่อยู่อาศัยที่เป็นธรรมและเข้าถึงได้สำหรับทุกกลุ่มประชากร

7. การปรับตัวของสังคมต่อการเปลี่ยนแปลง:

ในที่สุด สังคมจะต้องปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ เช่น การยอมรับรูปแบบครอบครัวที่หลากหลายขึ้น การสร้างความเท่าเทียมในสถานที่ทำงาน และการพัฒนานโยบายที่ตอบสนองต่อการขาดแคลนประชากรวัยทำงาน


แนวทางแก้ไขที่เป็นไปได้:

1. การสนับสนุนทางการเงินสำหรับครอบครัวใหม่:

o รัฐบาลสามารถให้เงินสนับสนุนหรือสวัสดิการพิเศษสำหรับครอบครัวที่มีลูก หรือให้สิทธิพิเศษในเรื่องการกู้ซื้อบ้าน เพื่อช่วยลดภาระทางการเงินของคนรุ่นใหม่

o การลดภาษีสำหรับครอบครัวที่มีลูก หรือการจัดทำโครงการบ้านราคาเอื้อมถึงสำหรับครอบครัวใหม่

2. การกระตุ้นการพัฒนาเมืองในพื้นที่อื่น:

o ส่งเสริมการพัฒนาเมืองนอกเมืองใหญ่ เพื่อลดความหนาแน่นในเขตเมืองและลดแรงกดดันของราคาอสังหาริมทรัพย์ในเมืองใหญ่

o ส่งเสริมการสร้างชุมชนในพื้นที่ชนบทด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและโครงสร้างพื้นฐานที่ดี เพื่อให้คนย้ายไปตั้งรกรากในพื้นที่ใหม่ๆ

3. การสนับสนุนการดูแลเด็กและการศึกษา:

o การให้สวัสดิการดูแลเด็กเล็ก เช่น โรงเรียนอนุบาลฟรีหรือศูนย์ดูแลเด็กที่ราคาถูก จะช่วยให้พ่อแม่สามารถทำงานได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูลูก

o สนับสนุนการศึกษาในระดับพื้นฐานเพื่อให้ทุกครอบครัวสามารถเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพโดยไม่มีภาระค่าใช้จ่ายที่มากเกินไป

4. การใช้เทคโนโลยีและ AI เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน:

o การลงทุนในเทคโนโลยีที่สามารถช่วยทดแทนแรงงานในบางอุตสาหกรรม อาทิ การพัฒนา AI, หุ่นยนต์ และระบบอัตโนมัติ จะช่วยลดการพึ่งพาแรงงานมนุษย์ในอนาคต

o ส่งเสริมการทำงานจากระยะไกล ซึ่งอาจลดความต้องการในเรื่องที่อยู่อาศัยใกล้เมืองใหญ่และช่วยลดแรงกดดันทางเศรษฐกิจ

5. การเปิดรับแรงงานต่างชาติ:

o การเปิดกว้างในการรับแรงงานต่างชาติหรือส่งเสริมการเป็นพลเมืองของแรงงานเหล่านี้ อาจช่วยชดเชยจำนวนประชากรวัยทำงานที่ลดลงได้ในอนาคต

6. การสร้างสังคมที่รองรับผู้สูงอายุอย่างมีประสิทธิภาพ:

o การส่งเสริมโครงการหรือธุรกิจที่มุ่งเน้นการดูแลผู้สูงอายุ รวมถึงการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกที่เหมาะสมจะช่วยลดภาระของคนรุ่นใหม่ในการดูแลผู้สูงอายุในครอบครัว

o สนับสนุนการดูแลสุขภาพและสวัสดิการทางการแพทย์ที่มีประสิทธิภาพสำหรับผู้สูงอายุ

หากเราพิจารณาอนาคตของสังคมตามเงื่อนไขที่ได้พูดคุยกัน เช่น การลดลงของอัตราการเกิด ราคาที่อยู่อาศัยสูงขึ้น ภาระการดูแลผู้สูงอายุ และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ลองทำนายสภาพสังคมในช่วงระยะยาวเป็นระยะเวลา 50 ปี ในแต่ละช่วง ดังนี้:

อีก 50 ปีข้างหน้า (ปี 2074):

ประชากรผู้สูงอายุจะมีสัดส่วนสูงมาก: สังคมหลายแห่งจะกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ โดยมีประชากรวัยทำงานลดลงอย่างมาก ทำให้ต้องพึ่งพาเทคโนโลยี เช่น หุ่นยนต์และ AI ในการทำงานแทนแรงงานมนุษย์ในอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะงานที่ใช้แรงงานมาก

ครอบครัวขนาดเล็กและครอบครัวเดี่ยวเป็นเรื่องปกติ: คนส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตเป็นคู่หรือเป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น การมีลูกจะกลายเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นหรือเป็นทางเลือกสำหรับบางคนเท่านั้น เนื่องจากการเลี้ยงดูเด็กมีค่าใช้จ่ายสูงและการมีลูกไม่ใช่ค่านิยมหลักของสังคมอีกต่อไป

เมืองจะขยายใหญ่ขึ้น และชนบทลดลง: ผู้คนจะย้ายเข้าเมืองมากขึ้น ทำให้เมืองขยายตัวอย่างรวดเร็ว แต่เมืองเล็กและพื้นที่ชนบทจะร่อยหรอ ประชากรที่เหลืออยู่ในพื้นที่เหล่านี้ส่วนใหญ่จะเป็นผู้สูงอายุ

เทคโนโลยีทดแทนแรงงาน: การพัฒนา AI และหุ่นยนต์จะเข้ามาทำหน้าที่แทนมนุษย์ในหลายด้าน โดยเฉพาะงานที่ต้องใช้แรงงานและงานที่มีความซับซ้อน งานที่เกี่ยวข้องกับความคิดสร้างสรรค์หรือทักษะเฉพาะทางจะยังคงใช้มนุษย์เป็นหลัก

การย้ายถิ่นฐานของแรงงานต่างชาติ: หลายประเทศที่เผชิญปัญหาการขาดแคลนแรงงานจะต้องพึ่งพาแรงงานต่างชาติเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นกลุ่มประชากรที่เข้ามาทำงานในเมืองใหญ่และอุตสาหกรรมสำคัญ

อีก 100 ปีข้างหน้า (ปี 2124):

จำนวนประชากรลดลงอย่างชัดเจน: ประชากรโลกจะเริ่มเข้าสู่ช่วงการลดจำนวนประชากรลงอย่างต่อเนื่อง หลายประเทศจะเริ่มมีประชากรน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของในปัจจุบัน แม้ว่าจะมีนโยบายสนับสนุนการมีลูก แต่ก็อาจไม่เพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงแนวโน้มนี้ได้

สังคมพึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้น: เทคโนโลยีจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันในทุกด้าน หุ่นยนต์และ AI จะรับหน้าที่งานทุกประเภท ทั้งงานที่ต้องใช้แรงงาน งานบ้าน และงานสร้างสรรค์ เทคโนโลยีจะเข้ามาแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานและช่วยดูแลผู้สูงอายุ

การลดลงของความเหลื่อมล้ำทางทรัพยากร: ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีและการกระจายทรัพยากรที่เป็นธรรมมากขึ้น คนส่วนใหญ่จะมีการเข้าถึงบริการและความสะดวกสบายที่เท่ากันมากขึ้น การขาดแคลนอาหาร น้ำ และทรัพยากรธรรมชาติจะลดลง เนื่องจากการใช้เทคโนโลยีในการผลิตและบริหารจัดการ

การอยู่อาศัยแบบแนวตั้งและการใช้พื้นที่จำกัด: เนื่องจากพื้นที่ในเมืองมีจำกัด คนจะอาศัยในอาคารสูงและเมืองจะพัฒนาในแนวตั้งมากขึ้น พื้นที่สีเขียวและสวนในเมืองจะถูกพัฒนาเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการอยู่อาศัย

การเกิดขึ้นของสังคมที่ยืดหยุ่น: รูปแบบครอบครัวและการใช้ชีวิตจะยืดหยุ่นมากขึ้น มีการยอมรับการอยู่คนเดียวและการเลือกทางชีวิตที่หลากหลาย การแต่งงานหรือการมีลูกไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นหรือถูกคาดหวังในสังคมอีกต่อไป

อีก 150 ปีข้างหน้า (ปี 2174):

ประชากรโลกจะลดลงอย่างต่อเนื่อง: สังคมในหลายประเทศอาจประสบปัญหาจำนวนประชากรลดลงอย่างมาก จนต้องเปิดรับประชากรจากประเทศอื่นๆ เพื่อทดแทนแรงงาน แต่บางประเทศที่ไม่มีการเปิดกว้างจะมีจำนวนประชากรลดลงจนถึงจุดที่ไม่สามารถรักษาระบบเศรษฐกิจได้

สังคมที่พึ่งพา AI อย่างสมบูรณ์: AI และเทคโนโลยีจะพัฒนาไปถึงขั้นที่สามารถทำงานและการบริหารจัดการแทนมนุษย์ได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการผลิต การวิเคราะห์ข้อมูล หรือการวางแผนเชิงนโยบาย เทคโนโลยีเหล่านี้จะกลายเป็นส่วนสำคัญของการดำเนินชีวิตของมนุษย์

การย้ายถิ่นฐานไปยังพื้นที่ใหม่: การพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอาจนำไปสู่การย้ายถิ่นฐานไปยังดวงดาวหรือพื้นที่อื่นๆ นอกโลก เพื่อหาแหล่งทรัพยากรใหม่และพื้นที่ที่เหมาะสมในการขยายชีวิตมนุษย์

การเปลี่ยนแปลงของค่านิยมสังคม: ค่านิยมของสังคมจะเปลี่ยนแปลงอย่างมาก มนุษย์อาจให้ความสำคัญกับความเป็นอิสระส่วนบุคคลและการสร้างประสบการณ์ชีวิตมากกว่าการมีครอบครัวหรือมีลูก

การอยู่รอดของสังคมผู้สูงอายุ: ผู้สูงอายุในอนาคตอาจใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่พัฒนามากขึ้นในการยืดอายุขัย ทำให้มีชีวิตที่ยืนยาวกว่าเดิม แต่ด้วยจำนวนประชากรที่น้อยลง ความสัมพันธ์ระหว่างรุ่นอาจจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

อีก 200 ปีข้างหน้า (ปี 2224):

สังคมเทคโนโลยีที่พึ่งพิง AI อย่างสมบูรณ์: การพัฒนาของ AI และหุ่นยนต์จะเข้ามาแทนที่แรงงานมนุษย์อย่างสมบูรณ์ มนุษย์จะใช้ชีวิตโดยมี AI เป็นผู้ช่วยหลักในการดำเนินชีวิตประจำวัน การทำงานที่ต้องใช้มนุษย์อาจจำกัดอยู่ในงานด้านการวิจัยเชิงลึก การสร้างสรรค์ศิลปะ และการตัดสินใจเชิงจริยธรรม

การลดลงของประชากรอย่างหนัก: อัตราการเกิดจะลดลงอย่างมาก จนทำให้จำนวนประชากรโลกลดลงอย่างชัดเจน หากไม่มีการสนับสนุนให้มีลูกมากขึ้น สังคมบางแห่งอาจหายไปจากแผนที่โลก การย้ายถิ่นฐานไปยังพื้นที่ที่เหมาะสมจะกลายเป็นสิ่งจำเป็น

การพัฒนาสุขภาพและอายุยืนยาว: เทคโนโลยีทางการแพทย์จะพัฒนาถึงขั้นที่มนุษย์สามารถมีชีวิตอยู่ได้ยาวนานขึ้นมาก อาจยืดอายุขัยได้ถึง 150-200 ปี การควบคุมสุขภาพผ่านการใช้อุปกรณ์ชีวภาพและการบำบัดผ่านการปรับแต่งยีนจะเป็นเรื่องปกติ

การอยู่ร่วมกันของมนุษย์และเทคโนโลยี: อาจมีการเชื่อมโยงระหว่างสมองมนุษย์กับระบบคอมพิวเตอร์ (brain-computer interfaces) อย่างสมบูรณ์ ทำให้มนุษย์สามารถเข้าถึงข้อมูลและสื่อสารกับ AI ได้โดยตรงผ่านสมอง ความรู้จะสามารถถูกถ่ายโอนหรือเรียนรู้ได้ในทันที

การเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศและการจัดการทรัพยากร: ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศอาจมีความรุนแรง ทำให้บางพื้นที่ของโลกไม่เหมาะสมสำหรับการอยู่อาศัยอีกต่อไป การพัฒนาเทคโนโลยีด้านพลังงานและการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืนจะเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนสังคม

อีก 250 ปีข้างหน้า (ปี 2274):

สังคมโลกที่มีขนาดประชากรเล็กลง: จำนวนประชากรโลกอาจจะลดลงไปจนเหลือน้อยกว่าพันล้านคน การควบคุมทรัพยากรและพื้นที่จะไม่ใช่ปัญหาใหญ่อีกต่อไป เนื่องจากมีเทคโนโลยีที่สามารถผลิตอาหารและสิ่งจำเป็นอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การกระจายตัวของมนุษย์ในระบบสุริยะ: มนุษย์อาจจะสามารถตั้งถิ่นฐานในดวงดาวหรือดวงจันทร์ต่างๆ ในระบบสุริยะ เช่น ดาวอังคารหรือดวงจันทร์ของดาวพฤหัสบดี ด้วยเทคโนโลยีการเดินทางข้ามอวกาศที่พัฒนาไปไกล สังคมมนุษย์อาจแยกตัวเป็นกลุ่มๆ บนดาวเคราะห์ต่างๆ โดยมี AI และเทคโนโลยีอัตโนมัติเป็นผู้ดูแล

การผสมผสานระหว่างมนุษย์กับเทคโนโลยี: การพัฒนาในด้านการรวมมนุษย์กับเทคโนโลยีจะก้าวหน้าอย่างมาก มนุษย์อาจจะมีการผสานเทคโนโลยีเข้ากับร่างกายโดยตรง เช่น การเสริมสมรรถภาพร่างกายผ่านอวัยวะสังเคราะห์ หรือการเชื่อมโยงกับอินเทอร์เน็ตโดยตรง ทำให้การเรียนรู้และการสื่อสารเป็นไปในทันที

ค่านิยมทางสังคมใหม่: สังคมอาจจะไม่ยึดติดกับค่านิยมเดิมๆ เช่น ครอบครัวหรือการมีลูก ความเป็นปัจเจกบุคคลจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ผู้คนจะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาตนเอง การแสวงหาความรู้และประสบการณ์ใหม่ๆ

อีก 300 ปีข้างหน้า (ปี 2324):

การสูญหายของประชากรมนุษย์ในบางส่วนของโลก: ประชากรมนุษย์บางส่วนอาจหายไปจากพื้นที่บางแห่งของโลก โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศและทรัพยากรที่ลดลง พื้นที่เหล่านั้นอาจถูกทิ้งร้าง หรือถูกพัฒนาด้วยระบบอัตโนมัติแทนมนุษย์

สังคมที่ไม่มีขอบเขตทางภูมิศาสตร์: ขอบเขตระหว่างประเทศหรือภูมิภาคจะกลายเป็นเรื่องไม่สำคัญ มนุษย์จะใช้ชีวิตในโลกดิจิทัลมากขึ้น การสื่อสาร การทำงาน และการดำเนินชีวิตจะเกิดขึ้นในโลกเสมือนจริงหรือโลกดิจิทัล (virtual world) มากกว่าการอยู่ในสภาพแวดล้อมทางกายภาพ

การสำรวจอวกาศที่ก้าวหน้าขึ้น: มนุษย์อาจสามารถเดินทางไปนอกระบบสุริยะได้ด้วยเทคโนโลยีการเดินทางที่เร็วกว่าแสง หรือการใช้ประตูเชื่อมโยงมิติ การสำรวจและการตั้งถิ่นฐานในดาวเคราะห์อื่นๆ อาจเป็นเรื่องปกติในสังคมยุคนี้

การเสื่อมถอยของมนุษย์แบบดั้งเดิม: มนุษย์แบบดั้งเดิม (ที่ไม่ผสมผสานกับเทคโนโลยี) อาจกลายเป็นส่วนน้อยในสังคม ในขณะที่มนุษย์ที่เสริมสมรรถภาพด้วยเทคโนโลยี (cyborgs) จะกลายเป็นคนส่วนใหญ่ในสังคม

อีก 350 ปีข้างหน้า (ปี 2374):

การเปลี่ยนแปลงของการดำรงชีวิตของมนุษย์: มนุษย์ในยุคนี้อาจไม่ใช่มนุษย์ในแบบที่เรารู้จักอีกต่อไป การพัฒนาเทคโนโลยีทางพันธุกรรมและการผสมผสานกับหุ่นยนต์จะทำให้มนุษย์วิวัฒนาการไปสู่อีกขั้น การคงอยู่ของมนุษย์แบบดั้งเดิมจะกลายเป็นเรื่องหายาก

การสร้างสังคมใหม่ในโลกอื่น ๆ: สังคมมนุษย์อาจขยายไปยังระบบดาวอื่นๆ การสำรวจและตั้งถิ่นฐานในดวงดาวใหม่ๆ จะกลายเป็นเรื่องธรรมดา และการเชื่อมต่อกับโลกจะทำผ่านระบบเครือข่ายควอนตัมที่มีความรวดเร็วและเสถียร

ความหลากหลายของการดำรงชีวิต: มนุษย์จะมีรูปแบบการดำรงชีวิตที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งในรูปแบบดิจิทัล โลกเสมือนจริง หรือการใช้ชีวิตในร่างกายเทคโนโลยีที่ออกแบบมาเฉพาะเพื่อสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันในอวกาศ

จุดสิ้นสุดของการแบ่งแยกทางเศรษฐกิจ: ความแตกต่างทางเศรษฐกิจและสังคมอาจจะหายไป เนื่องจากการใช้เทคโนโลยีในการบริหารทรัพยากรและการผลิตสินค้าจะทำให้มนุษย์มีความเสมอภาคในการเข้าถึงทรัพยากรและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

อีก 400 ปีข้างหน้า (ปี 2424):

สังคมใหม่ของมนุษย์ในจักรวาล: มนุษย์อาจขยายไปสู่จักรวาลที่กว้างใหญ่ การตั้งถิ่นฐานในระบบดาวอื่นๆ หรือการเชื่อมต่อผ่านเครือข่ายควอนตัมระหว่างดวงดาวจะเป็นเรื่องปกติ การแบ่งแยกตามที่ตั้งทางภูมิศาสตร์หรือเชื้อชาติจะไม่มีความหมายอีกต่อไป

การแสวงหาความเป็นอมตะ: การแสวงหาวิธีการที่จะทำให้มนุษย์มีชีวิตอยู่อย่างยั่งยืนหรือมีอายุขัยที่ไม่จำกัดอาจเป็นเป้าหมายหลักของสังคม มนุษย์อาจพัฒนาเทคโนโลยีที่ช่วยคงความเป็นอมตะหรือมนุษย์อาจพัฒนาเทคโนโลยีที่ทำให้การคงอยู่ในรูปแบบดิจิทัลหรือการโอนจิตสำนึกเข้าสู่เครื่องจักรกลายเป็นเรื่องจริง ส่งผลให้มนุษย์สามารถคงอยู่ได้ในรูปแบบที่ไม่ต้องพึ่งพาร่างกายทางกายภาพอีกต่อไป เทคโนโลยีนี้จะเปลี่ยนวิธีการดำรงชีวิตและทำให้แนวคิดเรื่อง "ชีวิต" เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของสติปัญญา: การเชื่อมต่อระหว่างจิตสำนึกของมนุษย์กับเครือข่ายข้อมูลจะทำให้เกิด "จิตสำนึกรวม" หรือการแบ่งปันข้อมูล ความรู้ และความคิดได้ทันทีระหว่างมนุษย์ ซึ่งจะส่งผลให้สังคมก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของการคิดและการดำรงชีวิตร่วมกันอย่างสมบูรณ์

การอยู่ร่วมกันของมนุษย์และสปีชีส์เทคโนโลยี: มนุษย์และสิ่งมีชีวิตเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาขึ้นมา (เช่น หุ่นยนต์ที่มีสติปัญญา) จะอยู่ร่วมกันอย่างเท่าเทียม การแบ่งแยกระหว่าง "มนุษย์" กับ "เครื่องจักร" จะไม่มีอีกต่อไป เนื่องจากการผสมผสานระหว่างสองสิ่งนี้ได้กลายเป็นสิ่งปกติของสังคม

การลดความสำคัญของโลก: โลกอาจจะไม่ใช่ศูนย์กลางของมนุษย์อีกต่อไป เนื่องจากมนุษย์ได้ขยายไปอยู่ในหลายส่วนของจักรวาล การอยู่บนโลกอาจถูกมองว่าเป็นการย้อนกลับไปหาสิ่งเดิมๆ ขณะที่มนุษย์รุ่นใหม่อาจจะเกิดและเติบโตบนดาวเคราะห์ดวงอื่นที่อยู่ในระบบสุริยะหรือระบบดาวไกลโพ้น

สังคมที่ปราศจากการขาดแคลน: ด้วยการพัฒนาทางเทคโนโลยีที่สามารถสร้างทรัพยากรอย่างไม่จำกัด และการควบคุมการกระจายทรัพยากรอย่างเท่าเทียม สังคมในยุคนี้จะไม่มีความขัดแย้งเรื่องการขาดแคลนหรือความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจอีกต่อไป ทุกคนสามารถเข้าถึงสิ่งที่ต้องการได้อย่างไม่มีข้อจำกัด

อีก 500 ปีข้างหน้า (ปี 2524):

มนุษยชาติที่แปลงเป็นสปีชีส์พลังงาน: การพัฒนาเทคโนโลยีและความรู้ทางฟิสิกส์อาจทำให้มนุษย์วิวัฒนาการไปสู่รูปแบบการดำรงอยู่ที่ไม่พึ่งพาร่างกายอีกต่อไป อาจมีการเปลี่ยนมนุษย์ให้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ประกอบด้วยพลังงานหรือข้อมูล ที่สามารถเคลื่อนที่ข้ามเวลาและอวกาศได้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาร่างกาย

การสำรวจขอบเขตใหม่ของความจริง: มนุษย์ในยุคนี้อาจจะสำรวจขอบเขตของความเป็นจริงที่อยู่เหนือการรับรู้ในปัจจุบัน เช่น การสำรวจมิติคู่ขนาน จักรวาลอื่นๆ หรือพื้นที่ที่ยังไม่เคยค้นพบมาก่อน การแสวงหาคำตอบเกี่ยวกับต้นกำเนิดของจักรวาลและความหมายของชีวิตจะกลายเป็นหัวข้อหลักของการสำรวจในยุคนี้

การรวมเข้ากับจิตสำนึกระดับจักรวาล: มนุษย์อาจจะเข้าร่วมกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่มีสติปัญญาระดับจักรวาล เพื่อสร้างสังคมที่ไม่จำกัดขอบเขตทางกายภาพ การเชื่อมต่อของจิตสำนึกทั้งหมดจะนำไปสู่สังคมที่ไม่ต้องการการบริหารจัดการตามรูปแบบดั้งเดิมอีกต่อไป แต่ทุกคนจะมีความเข้าใจและทำงานร่วมกันอย่างสอดคล้องโดยธรรมชาติ

วันพุธ, มีนาคม 10, 2564

บ่นๆ

ด้วยนิสัยค่อนข้าง introvert และกลัวการเปลี่ยนแปลงอย่างร้ายกาจ ทำให้รู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะจะใช้ชีวิตเลย เพราะชีวิตคือการเปลี่ยนแปลง คือการพัฒนา คือการพยายามทำอะไรไปเรื่อยๆ

ถึงจะพยายามจะไม่ทำอะไรเลย หรือไม่เปลี่ยนอะไรเลย แต่สักวันเราก็จะโดนสิ่งแวดล้อมบีบบังคับทำให้เราต้องเปลี่ยนไปเอง ทั้งเรื่องเล็กๆ อย่างเช่นการต้องอาบน้ำเพราะสกปรก การต้องกินข้าวเพราะท้องมันหิว หรือการต้องทำมาหากินเพราะต้องการเงิน

ปัญหาคือ พอถึงจุดหนึ่งที่เกิดจะต้องเปลี่ยนแปลง ถ้ามันเปลี่ยนได้โดยที่เราขยับน้อยที่สุดได้ มันก็พอจะผ่านไปได้ แต่ถ้าถูกบังคับให้ต้องเปลี่ยน โดยบังคับว่าเราต้องเป็นคนทำ อันนี้เริ่มจะยากแล้ว ความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก อยากหนีก็หนีไม่ได้ จะทำก็กลัวไม่สำเร็จ ก็จะเกิดขึ้น

ถ้าถามว่าอยู่มาถึงปูนนี้ได้ยังไง ไม่มีวิธีแก้วิธีจัดการอะไรกับมันบ้างเหรอ ก็ต้องตอบตรงๆ ว่าไม่มี ถึงจะดีบ้างแย่บ้าง เลเวลอัพจนทำให้การแก้ปัญหาภายนอกทำได้ดีขึ้นจนเหมือนไม่มีปัญหาแล้ว แต่ปัญหาภายใน คือจิตใจก็ยังคงเป็นเรื่องลำบากอยู่เสมอ

การเติบโตเป็นผู้ใหญ่ คือการเปลี่ยนผ่านจากเคยพึ่งพิง กลายเป็นหมดที่พึ่ง จากเคยหนีและโยนปัญหา กลายเป็นต้องก้มหน้ารับและหาทางแก้ไข ความอบอุ่นใจปลอดภัยเริ่มหายากขึ้นเรื่อยๆ ตามวันเวลาที่ผ่านไป

การตั้งเป้าหมายก็เป็นเรื่องที่ดี ชีวิตที่ดีควรเป็นชีวิตที่มีเป้าหมาย มีวัตถุประสงค์อะไรสักอย่าง และทำประโยชน์ให้แก่โลก แต่ ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถทำได้

เป้าหมายวัยเด็กที่เคยยิ่งใหญ่ ความเป็นไปได้อันไม่รู้จบ เริ่มค่อยๆ บีบแคบลง ตามวัยที่เราเติบโตขึ้น เราค่อยๆ เข้าใจโลก เริ่มมองเห็นปัญหา เริ่มคิดไปถึงปลายทางตันมากกว่าความสำเร็จอันสว่างไสว

สรุปเรื่องนี้จะไปทางไหน ก็ยังตอบไม่ได้ มองย้อนไป และมองไปข้างหน้า เวลาที่เหลือก็น้อยลงจนรู้สึกว่า ด้วยเวลาที่เหลืออยู่ ควรจะใช้อย่างไรให้คุ้มค่า คือก็แค่ใช้ให้มันหมดไปเฉยๆ

ไม่อยากคิดเลย ขอหนีปัญหาข้อที่ยากที่สุดข้อนึงของชีวิตไปก่อนเถอะ ตอนนี้ถ้าจะให้ตั้งเป้าหมายเล็กๆ ก็ขอเก็บเงินให้เห็นเป็นเลขหนึ่งล้านให้ได้ เพราะอย่างน้อยก็ดีกว่าไม่ตั้งเป้าอะไรเลย ชีวิตก็จะยิ่งเคว้งคว้างไปกันใหญ่

คนที่ทำได้คงฟังแล้วเหมือนเรื่องตลก ฉันทำมาตั้งแต่เรียนจบใหม่ๆแล้ว ฉันทำงานสี่ห้าปีก็ได้แล้ว ฉันไปซื้อบ้านซื้อรถ ซื้อคอนโดไว้นอนเล่นแล้ว แต่ก็นั่นแหละ ชีวิตของทุกคนย่อมถูกมองจากตัวเองเสมอ

อัตตานั้นคือโลก โลกนั้นคืออัตตา เราเหมือนอยู่โลกใบเดียวกัน แต่จริงๆ เราทุกคนอยู่กันคนละโลกที่มาทับซ้อนกันเฉยๆ ทุกคนมองโลกจากอัตตาของตนเองเสมอ เรื่องเล่าทั้งหลายเลยถูกมองไม่เคยเหมือนกัน

เรื่องนี้จะยาวต่อไปอีก หรือจะจบ คิดตอนจบไม่ได้ เหมือนบทสนทนาในวงเหล้าที่ยิ่งเมาก็ยิ่งพรั่งพรู จนกว่าจะมีคนลุกขึ้นมาต่อยกันหรืออ้วกแตกกลางวงนั่นแหละ

แต่เนื่องจากเรื่องนี้คือมุมเดียวไร้คู่สนทนา ชีวิตก็ยังดำเนินต่อไปเช่นนั้น เรื่องนี้คงยังจะเป็นปลายเปิดไปอีกสักพักใหญ่ๆ จนกว่าเราจะลุกขึ้นมาทำอะไร หรือไม่ทำอะไร

สักวันถ้ามีเรื่องอะไรสนุกพอจะชักชวนให้คุยกันได้ ก็คงจะมาเล่าให้ฟังใหม่


...

10/3/2564 (2021)

วันเสาร์, ธันวาคม 07, 2562

สวัสดี...

คิดดูสิว่าไม่ได้เขียน blog มานานแค่ไหนแล้ว...
ถ้านับจากโพสต์ที่แล้วก็ปีกว่าเกือบสองปีมาแล้วนะ...

เอาเข้าจริง ก็พบว่าตัวเองไม่ได้รักการเล่าการเขียนอะไรขนาดนั้น หรือต่อให้อยากก็เหมือนจะไปไม่สุดไปไม่ถึงอย่างที่อยาก เพราะขาดทักษะ หรือขาดอะไรก็ช่างมันเถอะ แต่ก็ทำให้ไม่สามารถไปทำงานเป็นพวกครีเอทีฟ หรืองานแนวเล่าเรื่องจ๋าๆ ขนาดนั้นได้...

ทุกวันนี้ทำงานก็ออกแนวสื่อสารอยู่นะ แค่เปลี่ยนมาสื่อสารระหว่างลูกค้ากับ supplier แทน... 
ซึ่งมันก็ไม่ได้เลวร้ายหรอกนะ ถึงจะไม่ได้สนุกสนานอย่างที่คาดหวัง...
ก็แน่ล่ะ พออายุมากเข้า ก็ระลึกได้ว่า ชีวิตมันไม่ได้สนุกอะไรขนาดนั้น
มันก็ปะปะไปด้วยทุกข์มากๆ สลับกับทุกข์น้อยๆ วนเวียนกันไปจนกว่าเราจะสิ้นอายุขัย...

จากชีวิตที่ไม่ค่อยมีอะไร ก็ทำงานมีเงิน ซื้อของที่อยากได้ จนตอนนี้กลับรู้สึกว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่เราเคยอยากได้อยากมี เริ่มผันตัวเองไปเป็นภาระเล็กบ้างใหญ่บ้าง ตามแต่สิ่งๆ นั้นๆ จะเป็นไป...

ถ้าจะไม่มีอะไรเลย ภาระก็น้อยลงเบาลง แต่จะบริหารจุดสมดุลอย่างไร นั่นเป็นเรื่องที่ต้องหาคำตอบ เพราะถ้าบอกว่ามีให้น้อยเพราะพระไปเลยสิ อันนี้ก็จะน้อยเกิน จนใช้ชีวิตแบบคนปกติไม่ได้

วันนี้ที่มานั่งพิมพ์อยู่นี่ก็เพราะเบื่อหรอกนะ รู้สึกว่าสมาธิสั้นลงจนหมดอารมณ์แม้แต่จะนั่งดูซีรีย์ฝรั่งให้ทัน พอเบื่อมากๆ ก็ไม่รู้จะทำอะไร วนเวียน จนในที่สุดก็เปิดมาหาเรื่องพิมพ์อะไรสักอย่างเพื่อจัดระเบียบความคิดและอารมณ์ของตัวเอง ก่อนที่จะเสียเวลาไปเปล่าๆ มากไปกว่านี้...

ทุกวันนี้อยากมีความสุขนะ แต่ก็ยังหาไม่เจอว่าความสุขคืออะไร...

วันอังคาร, มีนาคม 13, 2561

หวาดหวั่น...

สืบเนื่องจากการป่วย...

เมื่อสัปดาห์ก่อน ผมป่วยครับ...
ป่วยแบบเหมือนไม่มีอะไร แต่กินยาหาหมอสองรอบ ฉีดยาก็แล้วตรวจเลือดก็แล้ว ก็ให้ผลแค่ว่าเป็นคออักเสบ แบบส่องไฟเข้าไปดูแล้วในคอมันบวมแดง อะไรทำนองนั้นแค่นั้นเอง... แต่ที่แย่คือมันหายช้ามาก ผมต้องใช้เวลาหยุดงานเพื่อพักผ่อนรักษาตัวอยู่บ้าน 11 วันเต็มๆ เพื่อให้รู้สึกดีพอที่จะกลับไปทำงานได้...

ปัญหาด้านร่างกายก็ส่วนหนึ่ง... ทีนี้ดันมาเจอปัญหาเรื่องจิตใจอีกเนี่ยสิ...
คราวนี้แปลก พอป่วยไปสักพัก ไม่รู้เป็นเพราะยา อากาศ หรือการอยู่บ้านมากเกินไปก็ไม่ทราบ มันเกิดอาการคิดมาก หดหู่ แบบแปลกๆ มันคิดวน วิตกกังวล จับต้นชนปลายไม่ได้ คิดไปเรืื่อยถึงเรื่องอดีต อนาคต คิดแล้วก็เครียด แล้วก็หดหู่...

สุดท้ายก็ได้พี่สาวพาไปแก้ปีชงที่ศาลเจ้าจีนแถวบ้าน
อยากจะไปหาทำบุญสังฆทานอะไรเพิ่มอยู่ แต่ยังไม่มีเวลา
ก็อาศัยสวดมนต์แผ่เมตตาก่อนนอน
กินวิตามินรวมๆ เสริม
ออกกำลังกายยืดเส้นยืดสายตอนเช้าเย็นบ้าง เผื่อจะช่วยได้

รู้สึกแปลกตัวเองเหมือนกันที่อาการก็ยังทรงๆ ไม่หายสักที
ก่อนนอนก็คิดเยอะ จนนอนไม่ค่อยหลับ
จะเป็นช่วงเช้าๆ เหมือนหวิวๆ ในอก ไม่อยากทำอะไร
จนช่วงสายๆ นั่นแหละ สักสิบโมง ถึงจะหายแบบไม่มีอาการ
ตอนเช้าตั้งแต่ตื่น เลยเป็นเหมือนเวลาที่ต้องรบกับใจตัวเอง ให้ลุกไปอาบน้ำแต่งตัวไปทำงาน

ไม่แน่ใจว่าเกิดจากความเครียดหลายๆ เรื่องรวมกันหรือเปล่า
อาการทำนองนี้มักเกิดกับผมในช่วงเวลาของชีวิตที่จะเกิดการพลัดพราก หรือเปลี่ยนแปลงในคนรอบตัว
แต่คราวนี้ก็ดูไม่มีอะไร ทุกอย่างมันก็ดำเนินไปตามปกติของมัน

กลายเป็นเหงา คิดมาก กลัวตาย แบบแปลกๆ
ตอนนี้ก็ได้แต่รอเวลาว่า มันจะค่อยๆ ดีขึ้นในทุกๆ วัน...

แก่แล้วก็ไม่มีอะไรดีอย่างเขาว่าละมัง...

วันศุกร์, สิงหาคม 04, 2560

วัยกลางคน...

ครับ...

ผมเริ่มรู้สึกว่าผมเข้าสู่ช่วงชีวิตที่เคยได้ยินแต่คนพูดถึง แต่ไม่เคยสัมผัส เหมือนผีปอบ ผีกระหัง ที่มีคนเล่าว่ามีแต่ไม่เคยเห็นเองนั่นแหละครับ ช่วงที่ว่าก็คือช่วงชีวิตที่เรียกว่า "วัยกลางคน"

พอถึงวันเกิดที่เพิ่งผ่านไปไม่กี่วันที่ผ่านมา
อยู่ดีๆ ผมก็นั่งนึกถึงชีวิตตัวเองว่าอายุเท่าไหร่แล้ว
แล้วถ้าอยู่ได้ถึงอายุเท่านี้ เราจะเหลือเวลาชีวิตอีกกี่ปี...

นั่นแหละครับ เกิดอาการเหมือนซาโตริอะไรบางอย่าง
วูบว่างวางหาย ว่า โอ้ ชีวิตเรานี่ ดำเนินมาเกินครึ่งแล้วนี่นะ
หรือถ้ามองในแง่ดีว่า เราจะโชคดีได้เป็นมนุษย์คนหนึ่งผู้มีอายุยืนกว่าค่าเฉลี่ย
ก็นับได้ว่ามีอายุดำเนินมาถึงช่วงวัยครึ่งคน กลางคนพอดี

แปลกดีนะ ที่อยู่ดีๆ ก็รู้สึกอะไรแรงขนาดนี้
เหมือนอย่างที่ว่าไป อะไรที่ยังไม่เคยเจอด้วยตัวเอง ไม่ได้สัมผัสเอง
คุณไม่มีวันรู้หรอก ว่าจริงๆ มันรู้สึกอย่างไร
จะรู้มากแค่ไหน จินตนาการเก่งอย่างไร
ถ้าไม่ได้รู้สึกเอง ทำเอง อยู่ตรงนั้นเอง
ยังไงคุณก็ไม่เข้าถึงมัน...

เคว้งๆ หน่วงๆ อยู่แบบนั้นอยู่สองวัน
พอดีไปเปิดอ่านเจอคอลัมน์ของคุณโตมร เรื่อง
สามสิบต้น สามสิบปลาย สี่สิบต้น สี่สิบปลาย : Lesson Learnt

คุณโตมรเป็นใครก็ไม่ทราบครับ แต่ผมติดตามงานเขียนของเขาผ่านทาง Facebook อยู่พักนึง
อ่านๆ ไป ก็ได้รู้ว่าเขามีอายุมากกว่าผมอยู่ไม่เท่าไหร่
แต่ด้วยแนวการเขียนของเขา ก็น่าติดตามอยู่ไม่ใช่น้อย

ลองอ่านบทความที่ผมแปะลิงค์ไว้เป็นตัวอย่างก็ได้ครับ

...

กลับมาเรื่องของเราต่อ...

พออ่านแล้วก็ตรงใจดี ว่าอย่างน้อย ก็มีคนคิดเหมือนเรา
ซึ่งจริงๆ โดยส่วนตัวผมมีความเชื่อว่า ทุกคนที่ถึงวัยนี้ ก็คิดแบบนี้เหมือนกันหมดล่ะครับ
ถ้าคิดไม่ได้ ก็แย่เกินไป สำหรับโอกาสที่ได้เกิดมาเป็นสัตว์อันมีสมองระดับนี้

หลายเรื่องที่ผ่านมา ทำให้ย้อนนึกได้ว่า เราเป็นคนใช้เวลาอย่างน่าเสียดายขนาดไหน
เคยใช้ชีวิตเหมือนไม่เคยนึกว่า ชีวิตเป็นของจำกัด ชีวิตเป็นของที่มีหมด

เราต่างก็นึกว่าชีวิตเรานั้นยาวนาน
เราต่างก็นึกว่าชีวิตเรานั้นอยู่กับเราแน่แท้

ไม่เลยครับ...

ชีวิตนั้นไม่ยาวนานเลย
ชีวิตนั้นเปราะบางเหลือเกิน...

การที่ทำอะไรเหมือนหายใจทิ้งไปวันๆ นับเป็นเรื่องน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง
แต่จะให้ใช้ชีวิตแบบเหมือนจะไม่มีวันพรุ่งนี้ให้ใช้อีก ก็ดูจะสุดโต่งเกินไปสำหรับผม

เอาเป็นว่า ผมก็จะลองผิดลองถูกกับชีวิตต่อไป
หาความพอดีต่อไป
ทำสิ่งที่คิดว่าดีต่อไป

คุณก็เหมือนกันนะครับ
เราเกิดมาร่วมในห้วงเวลาเดียวกัน
คุณได้อ่านบทความของผม ถือว่าเราก็มีอะไรบางอย่างที่ดึงดูดกัน

มาร่วมกันใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าต่อไปด้วยกันครับ...




วันจันทร์, พฤศจิกายน 07, 2559

ระบบชาร์จเร็วของ Huawei P9 Plus...

สวัสดีครับ....
ไม่ได้เขียนนานเลยครับ...

ตอนนี้ผมเปลี่ยนมือถือมาใช้ Huawei P9 Plus แล้วครับ
จริงๆ ไม่ได้อยากเปลี่ยนมือถือหรอกครับ อยากใช้ให้พังคามือ
เหมือนมือถือตัวก่อน ขอท้าวความไปถึง Galaxy Note 2 ซึ่งเป็นมือถือที่ผมชอบมากครับ ประทับใจในการใช้งาน ปัญหาน้อย แบตอึดมาก ถ่ายรูปสวย...
แต่ก็อยู่ด้วยกันไม่นาน ปีนิดๆ หมดประกันพอดี ก็เกิดอาการรีเซ็ตตัวเองบ่อยๆ จนในที่สุดก็ค้างจอขาวซ่าๆ ไปเลย จนต้องเอาไปส่งศูนย์
สุดท้ายศูนย์แจ้งมาว่า "บอร์ดพัง" ต้องเปลี่ยนบอร์ด ตอนนั้นราคาแจ้งมาที่ 6,300 บาท ถ้าจำไม่ผิด
ครับ ตัดสินใจง่ายมาก คือซื้อใหม่...

ต่่อมาก็ซื้อ Galaxy Note 3 มาใช้อีก ก็ชอบอีก
แต่ก็นะ มันเป็นรุ่นที่เพิ่งมารู้ทีหลังว่าเหมือนทำไม่เสร็จ กินแบตมาก firmware มีปัญหาอะไรสักอย่าง ทำให้แบตลดอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าทนได้ มันก็ทำงานได้ดี
จนมาปีทีสองของการใช้งาน อาการเก่าที่เคยหลอกหลอนมันก็กลับมาก
ใช่ครับ มันเริ่มรีเซ็ตตัวเองบ่อยครั้ง และถี่ขึ้นเรื่อยๆ
ด้วยประสบการณ์ ผมไม่รอมันพังคามือแล้ว
ซื้อใหม่สิครับ...

ด้วยทุนรอนที่ลดลง ทำให้มองมือถือที่ใช้งานได้ในระดับ flag ship แต่ราคาย่อมเยาว์ลง
และที่เน้นมากคือกล้องต้องดี...

สุดท้ายก็เลยมาลงที่ Huawei P9 Plus เพราะอะไรไม่รู้ แต่รวมๆ ค่อนข้างครบ
ในราคาที่ได้มาจาก Lazada ใส่ code ลดราคา 8% เหลือ 18,xxx
แถมยังใช้แต้มบัตรเครดิต คืนเงินได้อีกสามร้อยกว่าบาท นับว่าคุ้มค่า...

ตอนนี้ก็ใช้มาได้สองสามเดือนละ...
จากการที่เครื่องนี้มันใช้ port แบบ USB-C นั่นก็เป็นปัญหาค่อนข้างใหญ่ เพราะไม่เคยมีเครื่องอะไรในบ้านที่ใช้ port แบบนี้เลย ทำให้ต้องหาซื้อสาย usb-c มาใช้

และด้วยคุณสมบัติการที่มันรองรับการชาร์จเร็ว เราก็นึกว่ามันจะเหมือนๆ กันกับของชาวบ้านที่รองรับระบบชาร์จเร็ว Qualcom QuickCharge 2.0 หรือ 3.0 อะไรก็ว่าไป แต่เปล่า...
มือถือจีนเขาอินดี้พอที่จะสร้างระบบชาร์จเร็วของตัวเอง เรียกว่า Fast Charge อะไรสักอย่าง
ซึ่งถึงมันจะใช้กระแส 9V 2A คล้ายๆ กับ QuickCharge 
แต่มันดันใช้ด้วยกันไม่ได้ หลังจากหลงซื้อปลั๊กชาร์จแบบ QuickCharge มาใช้ แล้วมันไม่รู้จัก

ไปหาข้อมูลถึงรู้ว่า สุดท้ายต้องไปซื้อหัวปลั๊กชาร์จของตัว Huawei เอง ที่โชคดีหน่อยตรงที่ราคาไม่ได้แพงนัก หาได้ที่สามร้อยกว่าบาทจาก ebay

เสียบแล้วมันจะแจ้งว่ากำลังชาร์จเร็ว... สัญลักษณ์รูปสายฟ้าก็มีอันเล็กๆ อยู่ข้างๆ เป็นสองอันให้รู้ว่า เฮ้ย นี่ชาร์จเร็วด้วยไฟ 9V อยู่นะ อะไรงี้

ก็ขอมาเล่าให้ฟังแค่นี้แหละครับ จะได้ไม่ต้องหลงซื้อปลั๊กมาผิดให้เปลืองเงินแบบผม...

การแยกสายของธรรมยุติออกจากมหานิกาย ทำไมถึงไม่ใช่อนันตริยกรรม

บันทึกการสนทนาระหว่างข้าพเจ้ากับ ChatGPT ในประเด็นที่สงสัยมานานเกี่ยวกับการแยกสายของธรรมยุติออกจากมหานิกาย ทำไมถึงไม่ใช่อนันตริยกรรม ศาสนาพุ...