วันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2568

หัวข้อ: เมื่อฉันไม่สามารถยืนข้างใครได้เลยในประเทศนี้

ช่วงนี้ฉันเห็นภาพม็อบกลับมาอีกครั้ง เสียงตะโกนขับไล่ "แพรทองธาร" ดังขึ้นพร้อมป้ายผ้าสีสด และคำขวัญที่ฟังดูคุ้นหูเกินไป ท่ามกลางข่าวคลิปเสียงหลุดที่ทำให้รัฐบาลดูเหมือนไม่เหลืออะไรให้น่าเคารพ ฉันเองก็ไม่ใช่คนที่เชียร์เธอหรือรัฐบาลชุดนี้หรอกนะ แต่แปลกดี...ที่ฉันกลับรู้สึกไม่อยากยืนข้างผู้ชุมนุมพวกนี้เลยแม้แต่นิดเดียว

พวกเขาไม่ใช่ใครอื่นเลย คือกลุ่มคนที่เคยยืนอีกฝั่งของเรา — "เสื้อเหลือง นกหวีด มือตบ" กลุ่มที่เคยผลักเราจนชิดขอบสนาม กลุ่มที่เคยขับไล่รัฐบาลเลือกตั้งอย่างยินดี กลุ่มที่เคยปรบมือให้รัฐประหารแล้วพูดว่า “ก็ดีกว่าอยู่อย่างนี้” ทั้งที่สิ่งที่เราเรียกร้องตอนนั้น...มันก็แค่ประชาธิปไตยแบบพื้น ๆ ที่เขาเกิดมาก็มีอยู่แล้ว

วันนี้พวกเขากลับตะโกนเรื่อง “รัฐบาลหุ่นเชิด” “ผู้นำไม่มีจุดยืน” “หยุดคอร์รัปชัน” — มันย้อนแย้งชนิดที่ฉันกลืนไม่ลง นี่หรือคนที่เคยไล่คนลงถนนเพราะเขาเลือกต่างจากตัวเอง?

อย่าเข้าใจผิดว่าฉันเข้าข้างแพรทองธารนะ ฉันแค่เห็นเธอเป็นภาพซ้ำของ “ทักษิณเวอร์ชันจืดสนิท” คนที่เคยดูเก่ง อาจเพราะจังหวะโลกมันส่ง ไม่ใช่เพราะพิเศษอะไรนัก เธอก็แค่เดินบนถนนที่ปูด้วยทรัพยากรและทุนเดิม ไม่ได้สร้างอะไรใหม่ที่เปลี่ยนเกมได้จริง

คำว่า “โกงแต่เก่ง” มันควรหมดอายุไปนานแล้ว เพราะตอนมองย้อนกลับไป บางทีก็ไม่เห็นความเก่งตรงไหนเลยนอกจากการ “ฉวยโอกาส” ในจังหวะที่โลกมันกำลังมา

แล้วคนไม่โกงล่ะ? มีอยู่หรอก…แต่พอเข้าไปในระบบ พวกเขาก็มักโดนดูด โดนกลืน หรือไม่ก็โดนปล่อยให้ตายอย่างเงียบ ๆ อยู่ดี เพราะข้างในมันเต็มไปด้วยข้าราชการโกง รัฐวิสาหกิจโกง และเครือข่ายผลประโยชน์ที่ต่อกันเป็นใยแมงมุมเหนียวแน่น คนดีเข้าไปคนเดียวก็แค่เหยื่อที่ดิ้นไม่ได้

ฉันเลยไม่ยืนข้างใครเลย ไม่ใช่เพราะไม่แคร์ แต่เพราะฉันไม่อยากเป็นส่วนหนึ่งของเกมที่รู้ว่าฝ่ายไหนชนะ เราก็แพ้เหมือนเดิม ฉันไม่อยากให้ม็อบพาเรากลับไปหานายพล และก็ไม่อยากให้ประเทศนี้ถูกบริหารด้วยความประนีประนอมจนหลงทิศ

การอยู่ตรงกลาง บางทีมันก็เหงา เจ็บ และรู้สึกไร้เสียงที่สุด แต่ตรงนี้แหละ...ที่ฉันยังพอได้เห็นโลกใบนี้ชัดพอจะไม่หลงกลใครอีก

วันเสาร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2568

ลัทธิ Woke: จากการตื่นรู้สู่ล่าแม่มดในโลกสมัยใหม่

ในโลกที่เต็มไปด้วยรอยแผลจากประวัติศาสตร์การกดขี่ ความเหลื่อมล้ำ และเสียงของผู้ถูกละเลย คำว่า "woke" เคยเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังใหม่ หมายถึงการ "ตื่นรู้" ต่อความอยุติธรรมที่ฝังรากลึกในสังคม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเชื้อชาติ เพศ เพศสภาพ ชาติพันธุ์ หรืออัตลักษณ์เฉพาะกลุ่ม แนวคิดนี้เริ่มต้นด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์ และกลายเป็นพลังสำคัญที่ขับเคลื่อนขบวนการทางสังคมระดับโลก เช่น ขบวนการ Black Lives Matter, การผลักดันสิทธิ LGBTQ+, หรือการเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงระบบที่เลือกปฏิบัติอย่างแยบยล

ทว่ากาลเวลาผ่านไป “woke” ไม่ได้หยุดอยู่แค่ความตื่นรู้ มันเริ่มกลายพันธุ์ — จากแรงบันดาลใจสู่การครอบงำ จากเสรีภาพสู่การบังคับ จากการเรียกร้องสู่การลงโทษ และในที่สุดก็กลายเป็น ลัทธิล่าแม่มดยุคดิจิทัล ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังของโซเชียลมีเดีย การแชร์ และความโกรธที่ถูกจุดไฟง่ายกว่าเหตุผล


จุดเริ่มต้นของ Woke: ความหมายที่แท้จริง

คำว่า “stay woke” แต่เดิมเป็นคำแสลงที่มีรากเหง้ามาจากชุมชนคนผิวดำในสหรัฐอเมริกา ใช้เตือนกันให้ตื่นตัว ระแวดระวัง และรู้เท่าทันโครงสร้างอำนาจที่กดขี่ เช่น การเหยียดสีผิว การใช้ความรุนแรงจากเจ้าหน้าที่รัฐ หรือการเลือกปฏิบัติในระดับระบบที่ฝังลึกในชีวิตประจำวัน

เมื่อเข้าสู่ยุค 2010s แนวคิดนี้กลายเป็นกระแสหลักที่ผู้คนรุ่นใหม่จำนวนมากยึดถือเป็นค่านิยมร่วม มันกลายเป็นพลังบวกในการผลักดันความเปลี่ยนแปลงในระดับนโยบาย สื่อ การศึกษา และวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นการเรียกร้องให้สื่อสร้างภาพแทนที่หลากหลายขึ้น การปรับเปลี่ยนกฎหมายให้ครอบคลุมคนทุกกลุ่ม หรือแม้แต่การตั้งคำถามกับโครงสร้างทางสังคมที่เคยไม่ถูกแตะต้อง


จุดพลิกผัน: เมื่อความตื่นรู้กลายเป็นเครื่องมือของการครอบงำ

เมื่อโซเชียลมีเดียกลายเป็นเวทีหลักของการแสดงออก แนวคิด woke ก็เริ่มถูกผลักดันด้วยความเร็วและแรงที่เหนือกว่ากระบวนการทางสังคมแบบดั้งเดิม มันเริ่มกลายเป็นแนวคิดที่ไม่เปิดพื้นที่ให้ข้อสงสัย การตั้งคำถาม หรือมุมมองที่ต่างไป กลายเป็นรูปแบบของ "การเมืองของศีลธรรมสุดขั้ว" (moral absolutism) ที่แยกโลกออกเป็นเพียงสองขั้ว — ฝ่ายดีที่ตื่นรู้ กับฝ่ายชั่วที่ไม่เข้าใจ หรือเลวโดยอัตโนมัติ

และจากตรงนั้นเอง ปรากฏการณ์ Cancel Culture ก็ถือกำเนิดขึ้น — การเรียกร้องให้ตัดขาด เลิกสนับสนุน หรือทำลายชื่อเสียงของบุคคลหรือองค์กรที่เคยแสดงความเห็นหรือกระทำบางอย่างที่ไม่สอดคล้องกับกรอบ woke แม้สิ่งนั้นจะเป็นความเห็นจากเจตนาดี หรือเกิดในบริบทที่มีความซับซ้อนและหลากหลาย


Cancel Culture: การเผาแม่มดยุคดิจิทัล

ในประวัติศาสตร์ยุโรปยุคกลาง "การล่าแม่มด" เป็นการล่าหาคนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นภัยต่อศีลธรรมของสังคม ผู้หญิงหรือชายที่แตกต่าง แปลกประหลาด หรือเพียงแค่ไม่เข้ากับกรอบ ก็อาจถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดและถูกลงโทษโดยไร้กระบวนการยุติธรรมใด ๆ

ในยุคดิจิทัล เราไม่ได้เผาคนด้วยไฟอีกต่อไป แต่เราเผาด้วยการ cancel — การโจมตีทางออนไลน์ การแบน การตัดโอกาสในการทำงาน การทำลายภาพลักษณ์ และที่สำคัญคือการปิดกั้นการฟังเสียงอีกฝั่ง

ใครที่เผลอพูดผิด โพสต์ไม่ตรงกรอบ ใช้ศัพท์ไม่อัปเดต หรือมีมุมมองที่ตั้งคำถามกับวาทกรรมหลัก ก็เสี่ยงที่จะถูกตราหน้า โดนดึงออกจากเวทีสาธารณะ และถูกทำให้เงียบเสียงไปตลอดกาล โดยไม่มีพื้นที่ให้แก้ตัว ไม่มีโอกาสขอโทษ และไม่มีใครกล้าหยิบยกเรื่องนั้นขึ้นมาปกป้อง เพราะกลัวจะถูกลากไปด้วย


ตัวอย่างของการล่าแม่มด woke สุดโต่ง

ต่อไปนี้คือบุคคลที่ถูก cancel จากกระแส woke อย่างรุนแรง โดยที่หลายกรณีถูกตีความผิด เจตนาดี หรือมีบริบทที่สื่อและสังคมละเลย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงอันตรายของลัทธิล่าแม่มดยุคใหม่:

  • J.K. Rowling: ผู้แต่ง Harry Potter ถูกตราหน้าว่าเป็น “transphobic” เพียงเพราะตั้งคำถามเกี่ยวกับสิทธิของผู้หญิงในทางชีววิทยา และผลกระทบของการนิยามเพศแบบใหม่ เธอระบุชัดว่าไม่เกลียดคนข้ามเพศ แต่ห่วงว่าแนวคิดสุดโต่งบางแบบอาจไปลิดรอนสิทธิของผู้หญิงในพื้นที่เฉพาะทาง

  • Gina Carano: นักแสดงจากซีรีส์ The Mandalorian ถูกปลดออกจากบทบาทในปี 2021 หลังโพสต์ข้อความเกี่ยวกับการเมืองและเสรีภาพในการแสดงออก โดยมีการเปรียบเทียบแนวคิดทางการเมืองกับอดีตที่คนยิวถูกไล่ล่า แม้เธอจะอธิบายว่าไม่ได้มีเจตนาเหยียด แต่กระแสในโซเชียลมีเดียรุนแรงมากจน Lucasfilm ตัดสินใจยุติสัญญาอย่างทันที

  • Dave Chappelle: นักแสดงตลกชื่อดังที่ใช้เวทีสแตนด์อัพเพื่อวิจารณ์วัฒนธรรม woke และ cancel culture ในผลงาน The Closer และ Sticks and Stones เขาถูกกลุ่มบางส่วนกล่าวหาว่าล้อเลียนชาวทรานส์อย่างไม่เหมาะสม แม้เนื้อหาจะเป็นส่วนหนึ่งของการตั้งคำถามต่อสังคม แต่เขาก็เผชิญกับการประท้วง การเรียกร้องให้ถอดเนื้อหาจาก Netflix และคำกล่าวหาว่า “เป็นภัยต่อความปลอดภัยของชุมชน”

  • Sir Tim Hunt: นักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลชาวอังกฤษ กล่าวมุขติดตลกในงานสัมมนาว่า “ผู้หญิงทำให้ผู้ชายในห้องแล็บไม่มีสมาธิ” คำพูดนี้ถูกสื่อบางแห่งรายงานโดยไม่ลงรายละเอียด เขาถูกสังคมมองว่าเป็นผู้เหยียดเพศ และต้องลาออกจากตำแหน่งในหลายสถาบัน แม้จะมีเพื่อนร่วมงานหญิงหลายคนออกมาปกป้องว่าเขาไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น

  • Justine Sacco: ผู้บริหารฝ่ายสื่อสารองค์กร โพสต์ทวีตที่ตั้งใจจะเสียดสีว่า “หวังว่าจะไม่ติดเอดส์ระหว่างบินไปแอฟริกา — ล้อเล่น! ฉันเป็นคนผิวขาวนะ” ขณะเธออยู่บนเครื่องบิน กระแสโซเชียลถล่มทันที และเมื่อเครื่องลง เธอกลายเป็นเป้าถูก “เผา” จนถูกไล่ออกจากงาน ทั้งที่เมื่ออ่านข้อความในบริบทเต็มแล้วจะเห็นว่าเป็นการประชดการเหมารวมอย่างชัดเจน

  • Chimamanda Ngozi Adichie: นักเขียนหญิงชาวไนจีเรียเจ้าของผลงานระดับโลก เช่น We Should All Be Feminists เธอเคยให้สัมภาษณ์ว่า "trans women are trans women" — แม้จะไม่ได้ปฏิเสธสิทธิของคนข้ามเพศ แต่ก็ถูกกล่าวหาว่าไม่ inclusive พอ ส่งผลให้เธอถูกตัดออกจากเวทีสื่อหลายแห่ง และต้องเขียนบทความยาวเพื่อตอบโต้ว่า cancel culture นั้นเป็นภัยต่อเสรีภาพของนักเขียนและสังคม

  • Biddy O’Loughlin: นักแสดงตลกชาวออสเตรเลีย โดนยกเลิกโชว์หลังพูดถึงประเด็น trans และ disability ด้วยภาษาตลกที่ถูกมองว่าไม่เหมาะสม เธอถูก cancel ทั้งที่ตั้งใจแสดงเพื่อสะท้อนความจริงเชิงเสียดสี แต่ไม่มีใครเปิดพื้นที่ให้เธออธิบายว่าไม่ได้มีเจตนาร้ายหรือเหยียดหยาม

ตัวอย่างเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้บุคคลเหล่านี้จะไม่ได้มีเจตนาไม่ดี แต่กลับถูกกระแสสังคมลากไป “เผา” อย่างรวดเร็ว ทั้งที่แต่ละเรื่องล้วนมีบริบทและความซับซ้อนซึ่งควรได้รับการพิจารณาอย่างเป็นธรรม


ทำไมเราถึงควรกังวล?

เพราะสิ่งที่เริ่มจากความตั้งใจดี กำลังกลายเป็นระบบที่บีบบังคับให้ผู้คนต้องคิด พูด และแสดงออกอย่างหวาดระแวง

หากเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นถูกจำกัดอยู่แค่ในกรอบที่ฝ่ายหนึ่งกำหนด เราจะยังสามารถเรียกตัวเองว่าเป็นสังคมเสรีประชาธิปไตยได้หรือไม่?

หากเรากลัวจะถูก cancel มากเกินกว่าจะกล้าแสดงความเห็นตรงไปตรงมา เรากำลังเดินเข้าสู่สังคมที่ไม่มีใครกล้าคิด ไม่มีใครกล้าถาม และไม่มีใครกล้าตั้งข้อสังเกต — ซึ่งนั่นคือสังคมที่ไม่พัฒนาอีกต่อไป


สรุป

“woke” เริ่มต้นจากความตื่นรู้ต่อความอยุติธรรม และการเรียกร้องสิทธิให้กับผู้ถูกมองข้าม
แต่เมื่อถูกขับเคลื่อนโดยความโกรธแทนเหตุผล มันก็กลายเป็นอาวุธแห่งศีลธรรมที่ใช้ทำร้าย

วันนี้ ลัทธิ woke สุดโต่งได้เปลี่ยนเส้นทางจากการปลดปล่อยสู่การควบคุม — จากการเรียกร้องสิทธิสู่การบงการความคิด และจากพื้นที่ถกเถียงสู่พื้นที่ล่าแม่มด

เราควรกลับมาเปิดพื้นที่ให้เสียงที่ต่างกันได้พูด ฟังอย่างเข้าใจ เห็นต่างโดยไม่ต้องเกลียด และโต้แย้งกันด้วยเหตุผลแทนอารมณ์

เพราะในโลกที่ทุกคนกลัวจะพูด ไม่มีใครกล้าคิด และในโลกที่ไร้การตั้งคำถาม สุดท้ายสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ก็คือ “อำนาจของเสียงที่ดังที่สุด” ไม่ใช่ “เสียงที่มีเหตุผลที่สุด”

วันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2568

ทำไมทั้งพวกคอมฯ ทั้งฝรั่งเศสแม่งถึงไปอุ้มของเหี้ยแบบฮุนเซน

🇨🇳 1. จีน: “คบใครก็ได้ ขอแค่แม่งไม่ใช่ลูกน้องอเมริกา”

  • หลังยุคเหมา จีนเริ่มเล่นเกมภูมิรัฐศาสตร์
    → ขอแค่ ไม่ให้โลกถูกอเมริกาคุมอยู่ฝ่ายเดียว

  • เวียดนามบุกเขมร (1979) เพื่อโค่นเขมรแดง
    → จีนหัวร้อน เพราะเวียดนามเป็น “คอมแบบรัสเซีย” ไม่ใช่ “คอมแบบจีน”
    → เลย อุ้มฮุนเซนขึ้นเป็นรัฐบาลพลัดถิ่น + ป้อนอาวุธ-เงิน-อิทธิพลเต็มสูบ
    → ฮุนเซนจึงเป็น หมากของจีน ที่ใช้ถ่วงเวียดนามในอินโดจีน

❝ จีนไม่ได้อุ้มเพราะรัก แต่อุ้มเพราะแม่งต้องมีหมากวางบนกระดานโลก ❞


🇫🇷 2. ฝรั่งเศส: “กูแม่งเสือกได้ เพราะกูเคยเป็นเจ้าอาณานิคม”

  • กัมพูชาเคยเป็นอาณานิคมฝรั่งเศส ในอินโดจีนเหมือนลาวกับเวียดนาม

  • ฝรั่งเศสอยาก “ปั้นภาพว่ากูยังมีอิทธิพลในโลกหลังอาณานิคม”
    → เลย จับมือกับจีนและไทยในยุคสงครามเย็น
    เพื่อสนับสนุน “รัฐบาลในเงา” ของฮุนเซน สู้กับเวียดนาม

  • แม้ตอนนั้นเขมรแดงฆ่าคนเป็นล้าน ฝรั่งเศสแม่งก็ยังช่วย เพราะไม่อยากให้เวียดนามชนะ
    → พอเวียดนามถอนทหาร ฝรั่งเศสก็ร่วมวง “ตกแต่งภาพ” ฮุนเซนให้ดูดีในเวทีโลก

❝ ฝรั่งเศสมันไม่ได้รักใคร แต่มันเสือกเพราะมันยังอยากเล่นบทเจ้าโลกเก่า ❞


🟥 3. ฝ่ายคอมมิวนิสต์: “ศัตรูของศัตรูคือเพื่อนกู”

  • ในโลกคอมมิวนิสต์แม่งไม่ได้รักกันจริงหรอกนะ
    จีนก็เกลียดเวียดนาม
    เวียดนามก็เคยไล่เขมรแดง
    เขมรแดงแม่งก็โหดเกินมนุษย์

  • แต่เพราะอเมริกาเข้ามากดดันในภูมิภาค
    → ทุกตัวละครแม่งต้อง เล่นบท “ชั่วแบบเลือกได้”
    → ฮุนเซนเลยเป็นหมากที่ ไม่ดี... แต่มีประโยชน์

❝ ในโลกจริง ความดีไม่มีน้ำหนักเท่าความคุมได้ ❞


🔥 สรุปแบบด่าได้เลย:

❝ ฮุนเซนรอด เพราะเขาเป็น “ของเหี้ยที่วางได้บนโต๊ะเจรจาระดับโลก”
ไม่ใช่เพราะเขาดี แต่เพราะเขา เชื่องกับจีน และ ไม่ขัดกับผลประโยชน์ฝรั่งเศส

❝ ส่วนคนเขมรเหรอ? ไม่ได้อยู่ในเกมพวกนี้เลย — เป็นแค่ประชากรที่ถูกใช้เพื่อการปั่นแต้มของพวกใหญ่ๆ ❞


รัฐที่เกิดจาก 'ความเป็นเหยื่อ' และการผลิตซ้ำอำนาจผ่านการกดขี่ – กรณีศึกษาจาก 10 ประเทศ

ในบริบทของรัฐศาสตร์สมัยใหม่ การก่อตัวของรัฐชาติไม่เพียงเป็นผลลัพธ์ของเจตจำนงร่วมทางอุดมการณ์หรือผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ แต่ยังมีมิติที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับประวัติศาสตร์บาดแผล (traumatic pasts), ความทรงจำทางการเมือง (political memory), และกระบวนการก่อรูปอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ (ethno-national identity formation) ผ่านความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

บทความนี้เสนอว่า หลายรัฐในโลกสมัยใหม่มิได้ถือกำเนิดขึ้นด้วยอุดมคติของความยุติธรรมและการรวมศูนย์เพื่อความเท่าเทียม หากแต่เกิดจากกระบวนการสร้างอัตลักษณ์โดยอ้างอิงความเป็น "เหยื่อ" ของระบบหรืออำนาจในอดีต โดยอาศัยบาดแผลเหล่านั้นเป็นทุนทางการเมืองในการสร้างความชอบธรรมให้กับการใช้ความรุนแรงหรือการกดขี่ต่อกลุ่มอื่นที่ถูกทำให้กลายเป็น "ผู้อื่น" (the Other)

เมื่ออำนาจเปลี่ยนมือ กลุ่มที่เคยอยู่ชายขอบอาจกลายเป็นชนชั้นปกครองที่ไม่เพียงสถาปนาอำนาจใหม่ แต่ยังสร้างกลไกทางอุดมการณ์และวาทกรรมเพื่อดำรงความเหนือกว่าผ่านการกดขี่ซ้ำรอยแบบใหม่ ซึ่งอาจรุนแรงและแยบยลยิ่งกว่ารูปแบบที่ตนเคยประสบในอดีต

กรณีศึกษาทั้ง 10 ประเทศในบทความนี้สะท้อนให้เห็นกลไกเชิงโครงสร้างและวาทกรรมดังกล่าวอย่างเป็นระบบ โดยวิเคราะห์ผ่านกรอบแนวคิดเรื่อง Cycle of Oppression, การก่อรูปอัตลักษณ์ทางการเมือง (Political Identity Construction), และ Nation-Building เชิงกีดกัน (Exclusionary Nationalism) ซึ่งช่วยอธิบายได้ว่า ทำไมและอย่างไร รัฐที่ถือกำเนิดจากการถูกกดขี่จึงสามารถกลายเป็นรัฐที่กดขี่ได้เช่นเดียวกัน


ปรากฏการณ์ของการผลิตซ้ำการกดขี่ในโครงสร้างรัฐ

นักรัฐศาสตร์ นักจิตวิทยาการเมือง และนักสังคมวิทยาเสนอแนวคิดร่วมกันว่า ประสบการณ์ของการถูกกดขี่ในระดับบุคคลหรือกลุ่มมักถูกก่อรูปเป็น "ความทรงจำร่วม (collective memory)" และกลายเป็นวาทกรรมที่มีอิทธิพลต่อโครงสร้างอำนาจในอนาคต

ผู้ที่เคยถูกลดทอนสิทธิ เสรีภาพ หรือความเป็นมนุษย์ อาจสร้างอัตลักษณ์ใหม่ผ่านการแยกตัวเองออกจากกลุ่มที่เคยกดขี่ รวมถึงกลุ่มที่เปราะบางอื่น ๆ เพื่อผลิตความมั่นคงให้กับอัตลักษณ์ของตน การกระทำดังกล่าวก่อให้เกิดวงจรของการกดขี่ที่หมุนวน (recursive oppression)

ลักษณะร่วมที่ปรากฏ ได้แก่:

  1. การสร้างอัตลักษณ์ใหม่ที่ปฏิเสธอดีต และพยายามล้างหรือกลบเกลื่อนความเจ็บปวดในอดีต ด้วยการกำหนดศัตรูใหม่ในทางการเมือง

  2. การผลิตวาทกรรมแห่งความเหนือกว่า (superiority discourse) ที่อ้างอิงอารยธรรม ศาสนา หรือเชื้อชาติ เพื่อทดแทนความรู้สึกต่ำต้อยในอดีต

  3. การสถาปนาความชอบธรรมของรัฐผ่านกลไกทางกฎหมายและวัฒนธรรม ในการแบ่งแยกและควบคุมกลุ่มอื่น เช่น กฎหมายความมั่นคง วาทกรรมชาติพันธุ์นิยม หรือโครงสร้างการศึกษาแบบบีบบังคับ

เมื่อพิจารณาในภาพรวม การกดขี่จึงไม่ใช่เพียงปฏิบัติการที่รัฐกระทำต่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หากแต่เป็นโครงสร้างทางสังคมที่สร้างความมั่นคงให้กับอัตลักษณ์ของรัฐและชนชั้นนำในช่วงเปลี่ยนผ่านของอำนาจ


1. สหรัฐอเมริกา: อุดมการณ์แห่ง 'Manifest Destiny' และการพิชิตผ่านศีลธรรม

สหรัฐอเมริกาสมัยใหม่ก่อตั้งโดยผู้อพยพจากยุโรปที่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชายขอบในสังคมต้นทาง เช่น โปรเตสแตนต์หัวแข็ง, ผู้หนีภัยสงครามศาสนา, หรือผู้ไร้สิทธิในระบบฟิวดัลอังกฤษ การย้ายถิ่นฐานสู่ดินแดนใหม่จึงถูกจินตนาการว่าเป็น "พันธกิจจากพระเจ้า" เพื่อก่อตั้งอารยธรรมใหม่บนพื้นฐานของความบริสุทธิ์ทางจิตวิญญาณและเสรีภาพ

อุดมการณ์ Manifest Destiny ทำหน้าที่เป็นวาทกรรมหลักที่ให้ความชอบธรรมทางศีลธรรมแก่การยึดครองดินแดนพื้นเมืองอินเดียนแดง และการใช้แรงงานทาสชาวแอฟริกัน การขยายอาณาเขตกลายเป็นภารกิจศักดิ์สิทธิ์ ภายใต้ระบบที่สร้างความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในที่ดิน การศึกษา หรือแม้แต่ความเป็นมนุษย์

กระบวนการนี้ไม่เพียงสะท้อนการสถาปนาอำนาจผ่านการกดขี่ แต่ยังกลายเป็นต้นแบบของรัฐสมัยใหม่ที่ใช้วาทกรรมความดีเพื่อกลบเกลื่อนความรุนแรงของการยึดครอง


2. ออสเตรเลีย: จากนักโทษสู่ผู้กุมระบบอาณานิคมทางวัฒนธรรม

ออสเตรเลียในฐานะอาณานิคมของจักรวรรดิอังกฤษ เคยถูกใช้เป็นสถานที่เนรเทศนักโทษหรือผู้ไร้สิทธิในสังคมบริเตน ผู้ตั้งถิ่นฐานชุดแรกจึงเป็นผู้ที่ถูกทอดทิ้งจากระบบเดิมอย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตาม เมื่อสามารถตั้งหลักและสร้างโครงสร้างรัฐขึ้นมาได้ กลุ่มนี้กลับกลายเป็นชนชั้นปกครองที่สถาปนาอำนาจผ่านการกดขี่กลุ่มชนพื้นเมืองอะบอริจินอย่างเป็นระบบ ทั้งในด้านพื้นที่ การศึกษา ภาษา และประวัติศาสตร์

รัฐสมัยใหม่ของออสเตรเลียจึงผลิตอัตลักษณ์แบบ "White Australia" ซึ่งกลบเกลื่อนอดีตอันแปดเปื้อนของตน พร้อมกับผลิตวาทกรรมแห่งอารยธรรมเพื่อผลักคนพื้นเมืองออกนอกระบบ


3. อิสราเอล: รัฐที่เกิดจาก Holocaust แต่ใช้การยึดครองเป็นเครื่องมือ

การก่อตั้งรัฐอิสราเอลในปี 1948 เป็นผลจากความเจ็บปวดลึกซึ้งของชาวยิวที่เคยเผชิญกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในยุโรป (Holocaust) การสร้างรัฐจึงเป็นทั้งภารกิจทางจิตวิญญาณและทางการเมืองในการรักษาความอยู่รอดของอัตลักษณ์ยิว

อย่างไรก็ตาม กระบวนการสถาปนารัฐดังกล่าวเกิดขึ้นบนพื้นฐานของการเบียดขับและยึดครองดินแดนปาเลสไตน์ที่มีประชากรอาหรับอยู่มาก่อน โดยได้รับการสนับสนุนจากมติขององค์การสหประชาชาติปี 1947 ที่เสนอการแบ่งดินแดน

รัฐอิสราเอลในเวลาต่อมาใช้กลไกความมั่นคง การควบคุมพรมแดน และกฎหมายทหาร เพื่อจำกัดสิทธิในการเคลื่อนไหวของชาวปาเลสไตน์ในเขตเวสต์แบงก์และฉนวนกาซา ภายใต้วาทกรรมแห่งภัยคุกคามถาวรที่สืบทอดจากความทรงจำของการเป็นเหยื่อ


4. สาธารณรัฐประชาชนจีน: การรวมศูนย์ผ่านการลบอัตลักษณ์ชายขอบ

ภายหลังการล่มสลายของราชวงศ์ชิง จีนต้องเผชิญการรุกรานจากมหาอำนาจตะวันตก การเสียดินแดน และการล่มสลายของศักดิ์ศรีแห่งชาติ

พรรคคอมมิวนิสต์จีนจึงใช้วาทกรรมแห่งการฟื้นฟูศักดิ์ศรี (national rejuvenation) และความเป็นเอกภาพทางการเมืองเป็นเครื่องมือหลักในการรวมศูนย์อำนาจ และจัดระเบียบกลุ่มชาติพันธุ์ชายขอบ เช่น ชาวทิเบต อุยกูร์ และมองโกล

เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ การควบคุมภาษา, การสอดแนมประชากร, การกำกับศาสนา และการกดวัฒนธรรมท้องถิ่น เพื่อทำให้กลุ่มเหล่านี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของรัฐจีนแบบสมบูรณ์ (Sinicization)


5. ญี่ปุ่น: ความพยายามเทียบฝรั่งด้วยการเป็นจักรวรรดิ

ญี่ปุ่นในยุคเมจิเริ่มต้นจากความรู้สึกด้อยค่าภายใต้แรงกดดันของจักรวรรดิตะวันตก การเปิดประเทศภายใต้แรงบีบบังคับของสหรัฐฯ (เรือดำ) ทำให้ผู้นำญี่ปุ่นเกิดแรงผลักดันในการเร่งรัฐให้ทันกับอารยธรรมโลก

การปฏิรูปภาครัฐ กองทัพ การศึกษา และระบบราชการแบบตะวันตก นำไปสู่การเกิดจักรวรรดิญี่ปุ่นที่ใช้แบบจำลองตะวันตกในการล่าอาณานิคมในเอเชียตะวันออก เช่น การยึดเกาหลีและไต้หวัน การรุกรานจีน และการปกครองแบบเผด็จการทางทหารในดินแดนที่ยึดครอง


6. ตุรกี: การก่อตั้งรัฐชาติเชิงปฏิเสธความหลากหลาย

รัฐสมัยใหม่ของตุรกีภายใต้การนำของมุสตาฟา เคมาล อตาเติร์ก เกิดจากการล่มสลายของจักรวรรดิออตโตมันซึ่งเคยปกครองดินแดนที่หลากหลายเชื้อชาติและศาสนา

ภายใต้เป้าหมายในการสร้างรัฐชาติแบบตะวันตก ตุรกีเลือกผลิตอัตลักษณ์แบบเดียว (Turkishness) และกดทับอัตลักษณ์อื่น เช่น เคิร์ด อาร์เมเนีย และกรีก โดยใช้กฎหมาย การศึกษาภาคบังคับ และการควบคุมสื่อสารมวลชน


7. แอฟริกาใต้: โครงสร้างรัฐที่ยึดครองโดยคนส่วนน้อย

โครงสร้างรัฐในแอฟริกาใต้ในศตวรรษที่ 20 เป็นหนึ่งในกรณีศึกษาที่ชัดเจนของรัฐที่ผลิตซ้ำการกดขี่แบบสถาบัน คนผิวขาวซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยควบคุมโครงสร้างอำนาจและทรัพยากรทั้งหมดผ่านระบบ Apartheid

ระบบนี้ไม่ได้เป็นเพียงการเหยียดผิว แต่เป็นการจัดระบบชีวิตประจำวันให้แบ่งแยกทางการศึกษา การเดินทาง การครอบครองที่ดิน และโอกาสทางเศรษฐกิจอย่างถาวร


8. รัสเซีย: ความทรงจำจักรวรรดิและการรื้อฟื้นอำนาจผ่านความกลัว

จากการเป็นจักรวรรดิที่เคยถูกดูแคลนโดยยุโรปตะวันตก รัสเซียพยายามสร้างอัตลักษณ์ของตนผ่านการรวมรัฐโดยใช้วาทกรรมแห่งการปลดปล่อยทางชนชั้นและศีลธรรมแบบสังคมนิยม

ในยุคหลังโซเวียต รัฐรัสเซียภายใต้ปูตินหันกลับมาใช้อัตลักษณ์เชิงจักรวรรดิอีกครั้ง ผ่านการรุกรานยูเครน การสนับสนุนระบอบเผด็จการในรัฐเพื่อนบ้าน และการใช้สื่อเพื่อควบคุมการรับรู้ภายใน


9. กัมพูชา: การปฏิวัติโดยคนชายขอบที่กลายเป็นระบอบสังหาร

เขมรแดงภายใต้พอล พต เริ่มต้นจากความเกลียดชังต่อระบบชนชั้นที่เมืองใหญ่เป็นตัวแทน ความเท่าเทียมทางชนชั้นจึงกลายเป็นวาทกรรมในการทำลายคนมีการศึกษา ศิลปิน ข้าราชการ และแพทย์

ระบอบนี้เป็นตัวอย่างของการที่ผู้เคยถูกกดขี่กลายเป็นผู้ทำลายโครงสร้างสังคมด้วยการใช้ความรุนแรงอย่างสุดโต่ง


10. ซาอุดีอาระเบีย: การใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือกดขี่ภายในรัฐ

ซาอุดีอาระเบียในอดีตเคยเป็นรัฐชนเผ่าที่ไม่มีอิทธิพลในภูมิภาค แต่ภายหลังได้รับรายได้มหาศาลจากน้ำมัน รัฐจึงใช้อำนาจทางศาสนาเป็นเครื่องมือกำกับและควบคุมประชากรภายใน

ศาสนาอิสลามนิกายวะฮาบีถูกรัฐผนวกเข้าเป็นโครงสร้างหลักในการควบคุมผู้หญิง แรงงานต่างชาติ และชนกลุ่มน้อยทางศาสนา โดยใช้กฎหมายศาสนาอย่างเคร่งครัดและลงโทษอย่างรุนแรงต่อผู้ฝ่าฝืน


บทสรุป: เมื่อรัฐใช้ความเป็นเหยื่อสร้างความชอบธรรมใหม่แห่งการกดขี่

จากการวิเคราะห์ทั้ง 10 กรณี พบว่าประสบการณ์ของการเป็นเหยื่อในอดีต เมื่อไม่ได้รับการสะสางหรือวิพากษ์อย่างตรงไปตรงมา อาจกลายเป็นทุนทางการเมืองที่รัฐใช้เพื่อสร้างความชอบธรรมในการกดขี่กลุ่มอื่น

การเป็นเหยื่อไม่ได้ทำให้รัฐมีภูมิคุ้มกันต่อการใช้อำนาจในทางที่ผิด หากตรงกันข้าม อดีตที่ไม่ได้เยียวยาอย่างลึกซึ้ง มักจะสร้างรัฐที่ใช้ประวัติศาสตร์เพื่อหาความชอบธรรมในการลดทอนคุณค่าของมนุษย์กลุ่มอื่น

รัฐที่ก่อตั้งจากบาดแผล หากไม่สะสางประวัติศาสตร์ของตนเองอย่างวิพากษ์ ย่อมเสี่ยงที่จะกลายเป็นผู้สร้างบาดแผลต่อผู้อื่นต่อไป

และรัฐที่ปิดหูปิดตาตนเองจากประวัติศาสตร์แห่งความเจ็บปวด ย่อมมีแนวโน้มสูงที่จะผลิตซ้ำโศกนาฏกรรมเดิมในรูปแบบใหม่ที่รุนแรงและแยบยลยิ่งกว่าเดิม

หัวข้อ: เมื่อฉันไม่สามารถยืนข้างใครได้เลยในประเทศนี้

ช่วงนี้ฉันเห็นภาพม็อบกลับมาอีกครั้ง เสียงตะโกนขับไล่ "แพรทองธาร" ดังขึ้นพร้อมป้ายผ้าสีสด และคำขวัญที่ฟังดูคุ้นหูเกินไป ท่ามกลางข่า...