วันอังคาร, พฤศจิกายน 05, 2567

การท่องเที่ยวเชิงเหลื่อมล้ำ

ประเทศไทยเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของประเทศที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก โดยเฉพาะคนจากประเทศที่มีรายได้สูงกว่า เช่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป และประเทศญี่ปุ่น เหตุผลหลักที่นักท่องเที่ยวเหล่านี้ชอบประเทศไทยคือพวกเขาสามารถมาพักผ่อนและใช้ชีวิตอย่างหรูหราได้ด้วยงบประมาณที่น้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับประเทศของตัวเอง

ตัวอย่างเช่น:

1. ค่าครองชีพและการบริการที่ถูกกว่า: คนต่างชาติที่มีรายได้สูงในประเทศของตนเอง เช่น คนทำงานที่มีรายได้ในประเทศตะวันตก สามารถมาท่องเที่ยวในประเทศไทยและได้รับประสบการณ์ที่ดีได้ในราคาที่ประหยัดกว่ามาก ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมหรู ร้านอาหารดี ๆ และกิจกรรมท่องเที่ยวต่าง ๆ


2. การเกษียณในประเทศไทย: สำหรับชาวต่างชาติบางคนที่ต้องการเกษียณด้วยงบประมาณจำกัด ประเทศไทยเป็นจุดหมายที่ดึงดูดใจเนื่องจากค่าครองชีพที่ถูก ทำให้พวกเขาสามารถเกษียณอย่างสุขสบายกว่าในประเทศตะวันตกได้


3. การรักษาพยาบาลที่คุ้มค่า: บริการทางการแพทย์ในประเทศไทยมีคุณภาพและราคาถูกกว่าในหลายประเทศ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่อาศัยในประเทศที่ค่ารักษาพยาบาลสูงหรือไม่มีประกันสุขภาพดี ชาวต่างชาติจำนวนมากจึงมาประเทศไทยเพื่อรับบริการทางการแพทย์ เช่น การทำฟัน การผ่าตัดเสริมความงาม หรือแม้แต่การรักษาโรคบางอย่าง


4. ความคุ้มค่าในสินค้าฟุ่มเฟือย: ไทยเป็นแหล่งของสินค้าฟุ่มเฟือยและกิจกรรมที่ชาวต่างชาติสามารถสัมผัสได้ในราคาที่คุ้มค่า เช่น การนวดแผนไทย สปา หรือการท่องเที่ยวไปตามชายหาดและเกาะที่สวยงาม โดยสามารถใช้ชีวิตแบบสบายๆ ที่ยังคงอยู่ในงบประมาณที่จัดการได้



อย่างไรก็ตาม แม้ว่าประเทศไทยจะเป็นสถานที่ที่ดีสำหรับนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง แต่คนไทยที่ทำงานและใช้ชีวิตในประเทศอาจไม่ได้รับประโยชน์เช่นเดียวกัน เนื่องจากค่าแรงของคนท้องถิ่นมักไม่สูงพอที่จะใช้ชีวิตในมาตรฐานเดียวกันกับชาวต่างชาติ นอกจากนี้ การพึ่งพาเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยวอย่างมากทำให้ประเทศเสี่ยงต่อผลกระทบจากปัจจัยภายนอก เช่น เมื่อเกิดวิกฤติโรคระบาดที่ทำให้การท่องเที่ยวหยุดชะงักอย่างรุนแรง

การพึ่งพาการท่องเที่ยวและรายได้จากชาวต่างชาติทำให้เศรษฐกิจของไทยเติบโตในหลายด้าน แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างผลกระทบและความท้าทายต่อคนไทยในประเทศ ดังนี้:

5. การเพิ่มขึ้นของค่าครองชีพในเมืองใหญ่: พื้นที่ท่องเที่ยวหลัก เช่น กรุงเทพฯ ภูเก็ต เชียงใหม่ และพัทยา มีค่าครองชีพที่สูงขึ้น เนื่องจากมีความต้องการสินค้าและบริการจากนักท่องเที่ยวและชาวต่างชาติที่มีรายได้สูง เช่น ราคาที่พักและอาหารในย่านท่องเที่ยวที่สูงกว่าปกติ ซึ่งอาจทำให้คนท้องถิ่นไม่สามารถเข้าถึงหรือใช้ชีวิตในย่านนั้นได้อย่างสะดวกสบาย


6. การทำงานที่พึ่งพานักท่องเที่ยวเป็นหลัก: คนไทยจำนวนมากต้องพึ่งพารายได้จากอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เช่น การเป็นไกด์ ทัวร์โอเปอเรเตอร์ พนักงานโรงแรม และร้านอาหาร หากมีวิกฤติที่กระทบการท่องเที่ยว รายได้จากอาชีพเหล่านี้ก็จะหายไปทันที ส่งผลให้เกิดความไม่มั่นคงทางการเงิน และเกิดปัญหาการว่างงานจำนวนมาก เช่น ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ที่หลายธุรกิจต้องปิดตัวลง


7. การพัฒนาพื้นที่เพื่อการท่องเที่ยวมากกว่าชีวิตคนท้องถิ่น: หลายพื้นที่ในไทยถูกพัฒนาโดยเน้นการบริการเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวเป็นหลัก เช่น ถนนคนเดิน ร้านอาหารหรูหรา หรือห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ แต่ไม่ได้มุ่งเน้นพัฒนาสำหรับคนท้องถิ่น เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล หรือระบบสาธารณูปโภค ซึ่งอาจไม่เพียงพอหรือมีคุณภาพต่ำสำหรับคนไทยในพื้นที่เหล่านั้น


8. ความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมและการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน: การท่องเที่ยวที่เจริญรุ่งเรืองนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม และบางครั้งการเสื่อมถอยของวัฒนธรรมท้องถิ่นเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว วัฒนธรรมดั้งเดิมอาจถูกเปลี่ยนแปลงหรือปรับให้สอดคล้องกับความต้องการของนักท่องเที่ยว นอกจากนี้ การพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน เช่น การตัดป่า สร้างรีสอร์ทขนาดใหญ่ หรือใช้ทรัพยากรอย่างไม่รอบคอบ อาจทำให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว เช่น มลพิษทางน้ำจากการปล่อยของเสียลงทะเล การทำลายแนวปะการัง และการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ


9. การกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวมีบทบาทในการพัฒนาเศรษฐกิจมากกว่าคนท้องถิ่น: การให้สิทธิพิเศษต่าง ๆ แก่นักลงทุนหรือนักท่องเที่ยวต่างชาติ เช่น วีซ่าระยะยาว การถือครองอสังหาริมทรัพย์ หรือการจัดทำสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ โดยไม่ได้ส่งเสริมคนท้องถิ่นอย่างเท่าเทียม อาจทำให้คนไทยรู้สึกว่าพวกเขาถูกละเลยและไม่สามารถเข้าถึงโอกาสที่เท่าเทียมกันในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม


10. ความไม่สมดุลทางเศรษฐกิจในระยะยาว: ประเทศที่พึ่งพาการท่องเที่ยวเป็นหลักจะเผชิญกับความเสี่ยงสูงในระยะยาว เนื่องจากการท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรมที่ไม่แน่นอน มีความเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์โลก เช่น การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ โรคระบาด ความกังวลด้านความปลอดภัย และนโยบายระหว่างประเทศ การพึ่งพารายได้จากนักท่องเที่ยวโดยไม่มีการพัฒนาอุตสาหกรรมพื้นฐานหรือเศรษฐกิจท้องถิ่นอื่น ๆ ที่แข็งแกร่งจะทำให้ประเทศเผชิญความเสี่ยงหากมีเหตุการณ์ที่ส่งผลต่อการท่องเที่ยวในระยะยาว ประเทศไทยและประเทศที่มีเศรษฐกิจพึ่งพาการท่องเที่ยวจำเป็นต้องพิจารณานโยบายเพื่อสร้างสมดุลระหว่างการท่องเที่ยวและความเป็นอยู่ที่ดีของคนท้องถิ่น เช่น การลงทุนในอุตสาหกรรมที่เสริมสร้างการจ้างงานในท้องถิ่น การพัฒนาระบบสาธารณูปโภค การส่งเสริมการศึกษาและทักษะที่จำเป็นในอนาคต และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความยั่งยืนในระยะยาว

มีหลายประเทศที่อยู่ในสถานการณ์คล้าย ๆ กับประเทศไทย โดยที่พึ่งพาการท่องเที่ยวและรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติมาก ซึ่งมีทั้งข้อดีและปัญหาที่คล้ายคลึงกัน ตัวอย่างประเทศเหล่านี้ได้แก่:

1. กรีซ: กรีซเป็นหนึ่งในประเทศที่พึ่งพาการท่องเที่ยวอย่างมาก โดยเฉพาะบนเกาะต่าง ๆ เช่น ซานโตรินี มิโคนอส และครีต ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจากยุโรปและทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายในบางเมืองและเกาะเหล่านี้สูงขึ้นมากจนคนท้องถิ่นมีชีวิตยากลำบาก นอกจากนี้ กรีซยังประสบปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจในประเทศ โดยรายได้จากการท่องเที่ยวมักจะกระจุกตัวในบางพื้นที่ ทำให้พื้นที่ชนบทหรือบางส่วนของประเทศยังคงมีปัญหาเศรษฐกิจอยู่


2. มัลดีฟส์: มัลดีฟส์เป็นประเทศที่มีรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นหลัก โดยนักท่องเที่ยวมักมาพักรีสอร์ทหรูตามเกาะต่าง ๆ ซึ่งพนักงานท้องถิ่นหลายคนต้องทำงานบริการ แต่ค่าครองชีพสูงและรายได้ของคนท้องถิ่นยังคงต่ำกว่านักท่องเที่ยวหรือคนต่างชาติที่มาท่องเที่ยวอย่างมาก นอกจากนี้ มัลดีฟส์ยังเผชิญกับปัญหาทรัพยากรธรรมชาติที่เสื่อมโทรมจากการพัฒนาเพื่อการท่องเที่ยว รวมถึงความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อความยั่งยืนในระยะยาว


3. บาหลี (อินโดนีเซีย): บาหลีเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของอินโดนีเซีย และได้รับความนิยมอย่างมากจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวออสเตรเลียและยุโรป แต่ในขณะเดียวกัน ค่าครองชีพในบาหลีก็สูงขึ้นทำให้คนท้องถิ่นมีความยากลำบากในการใช้ชีวิต ปัญหานี้ยิ่งชัดเจนในช่วงโควิด-19 ที่การท่องเที่ยวหยุดชะงัก ทำให้รายได้ของคนท้องถิ่นที่พึ่งพานักท่องเที่ยวลดลงอย่างมาก นอกจากนี้ การใช้ทรัพยากรที่ไม่ยั่งยืน เช่น น้ำ การสร้างสิ่งปลูกสร้างใหม่ ๆ และการจัดการขยะที่ไม่เพียงพอ ก็กระทบต่อคุณภาพชีวิตของชุมชนท้องถิ่นในบาหลีด้วย


4. สเปน (โดยเฉพาะหมู่เกาะบาเลอริกและหมู่เกาะคานารี): สเปนเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวขนาดใหญ่ โดยหมู่เกาะบาเลอริก เช่น มายอร์กา และอิบิซา เป็นที่นิยมอย่างมากจากนักท่องเที่ยวยุโรป ค่าใช้จ่ายสูงในย่านท่องเที่ยวเหล่านี้ทำให้คนท้องถิ่นต้องเผชิญกับความยากลำบากในการใช้ชีวิต ปัญหาคล้ายกันนี้ยังเกิดขึ้นในหมู่เกาะคานารี โดยที่การพัฒนาทางการท่องเที่ยวมักนำไปสู่การใช้ทรัพยากรอย่างไม่ยั่งยืนและการเสื่อมสภาพของสิ่งแวดล้อม


5. จาเมกา: จาเมกาเป็นอีกตัวอย่างของประเทศที่พึ่งพาการท่องเที่ยวสูง นักท่องเที่ยวมักมาเยี่ยมชมรีสอร์ทริมทะเลและสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ในขณะที่คนท้องถิ่นอาจไม่ได้รับประโยชน์จากการท่องเที่ยวมากนัก เพราะรายได้จากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมักตกไปยังบริษัทต่างชาติหรือรีสอร์ทขนาดใหญ่ นอกจากนี้ จาเมกายังเผชิญปัญหาความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจและค่าครองชีพสูงขึ้น ทำให้คนท้องถิ่นรู้สึกว่าไม่ได้รับประโยชน์อย่างเป็นธรรมจากการท่องเที่ยวที่เจริญเติบโต


6. ไอซ์แลนด์: ไอซ์แลนด์เป็นประเทศที่เติบโตด้านการท่องเที่ยวอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะหลังจากภาพถ่ายธรรมชาติของประเทศได้รับความสนใจจากทั่วโลก อย่างไรก็ตาม การเจริญเติบโตของการท่องเที่ยวทำให้ค่าครองชีพในไอซ์แลนด์สูงขึ้น โดยเฉพาะในเมืองหลวงอย่างเรคยาวิก คนท้องถิ่นในบางพื้นที่ประสบปัญหาจากการเพิ่มขึ้นของราคาที่ดินและค่าเช่า ซึ่งถูกผลักดันให้สูงขึ้นตามความต้องการของนักท่องเที่ยว

ประเทศเหล่านี้ล้วนแต่เผชิญกับสถานการณ์ที่คล้ายกันกับประเทศไทย โดยที่การพัฒนาการท่องเที่ยวและการเข้ามาของเงินทุนต่างชาติสร้างความเจริญและรายได้ให้กับประเทศ แต่ในขณะเดียวกันก็ส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำและความไม่สมดุลในคุณภาพชีวิตของคนท้องถิ่น ทั้งนี้ การแก้ไขปัญหานี้ในระยะยาวต้องอาศัยการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและสร้างสมดุลระหว่างการท่องเที่ยวและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในประเทศ




วันจันทร์, พฤศจิกายน 04, 2567

ประเด็นสมณศักดิ์และผลกระทบต่อพระพุทธศาสนาในระยะยาว

ในประเทศไทย สมณศักดิ์ เป็นตำแหน่งที่พระสงฆ์บางรูปได้รับจากรัฐ เพื่อยกย่องความรู้ความสามารถและการบำเพ็ญประโยชน์ แต่การให้สมณศักดิ์มาพร้อมกับ สถานะข้าราชการ ทำให้พระสงฆ์ในระดับนี้ได้รับ เงินเดือนและสวัสดิการ ซึ่งเป็นสิ่งที่แยกออกจากการดำรงชีวิตแบบสมถะตามหลักพระวินัยที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้

พระสงฆ์ที่ได้รับสมณศักดิ์ในประเทศไทย ถือเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามกฎหมาย ในบางบริบท เนื่องจากการได้รับสมณศักดิ์ถือเป็นการได้รับตำแหน่งที่รัฐยกย่องและมอบหมายบทบาทเฉพาะ โดยมี เงินนิตยภัต ซึ่งเป็นเงินที่ถวายจากรัฐตามตำแหน่งสมณศักดิ์ เช่น พระครู พระราชาคณะ หรือสมเด็จพระสังฆราช

ตามกฎหมายและการตีความในบางกรณี การมีสมณศักดิ์ทำให้พระสงฆ์บางรูปมีสถานะเจ้าหน้าที่ของรัฐ ในแง่สัญลักษณ์และบทบาทในการส่งเสริมกิจการศาสนา โดยถือว่าพระที่มีสมณศักดิ์เหล่านี้มีส่วนร่วมในการทำหน้าที่ที่รัฐกำหนดผ่านบทบาททางศาสนา แม้ว่าพระสงฆ์จะไม่ได้มีสถานะหรือหน้าที่เทียบเท่าข้าราชการทั่วไปก็ตาม

1. ความขัดแย้งระหว่างสมณศักดิ์กับพระวินัย

ตามพระวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ พระสงฆ์ควรดำรงตนอย่างเรียบง่าย ไม่ยุ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินทางโลก และไม่ควรยึดติดกับชื่อเสียง ตำแหน่ง หรือสิทธิพิเศษที่อาจทำให้เกิดความยึดมั่นถือมั่น การมีสมณศักดิ์และสถานะข้าราชการทำให้พระสงฆ์บางรูปมีบทบาทในราชการ ซึ่งขัดกับหลักการของพระพุทธศาสนาที่เน้นความเป็นอิสระและการละวางอัตตา

การได้รับเงินเดือนและสิทธิพิเศษอาจส่งผลให้พระสงฆ์บางรูปเริ่มห่างไกลจากการปฏิบัติธรรมที่มุ่งเน้นการปล่อยวางและมุ่งไปสู่ความหลุดพ้นตามเป้าหมายของพุทธศาสนา


2. การรวมศูนย์อำนาจทางศาสนาและผลกระทบต่อพระพุทธศาสนา

การที่รัฐมีบทบาทในการควบคุมและแต่งตั้งตำแหน่งทางศาสนาทำให้ คณะสงฆ์ขาดความเป็นอิสระ ทั้งนี้การรวมศูนย์อำนาจอาจนำไปสู่การจัดการที่ขาดความยืดหยุ่นและปิดกั้นการตีความที่หลากหลายของพระพุทธศาสนา ทำให้ชาวพุทธต้องปฏิบัติตามแนวทางที่รัฐกำหนดมากกว่าการปฏิบัติธรรมที่สอดคล้องกับหลักการดั้งเดิม

การรวมศูนย์อำนาจอาจทำให้การเผยแผ่ธรรมะไม่สามารถปรับตัวตามยุคสมัยได้ ทำให้พระพุทธศาสนามีความแข็งทื่อ ขาดการเปลี่ยนแปลงที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ปฏิบัติในยุคปัจจุบัน ซึ่งอาจนำไปสู่การเสื่อมลงในระยะยาว เพราะศาสนาขาดความยืดหยุ่นและความน่าสนใจสำหรับคนรุ่นใหม่


3. แนวทางในการสร้างจุดสมดุลเพื่อการดำรงอยู่ของพระพุทธศาสนา

ลดการรวมศูนย์อำนาจและเพิ่มเสรีภาพในคณะสงฆ์: ส่วนกลางควรให้เสรีภาพแก่คณะสงฆ์ในระดับต่าง ๆ ให้สามารถจัดการกิจการของตนเองได้มากขึ้น โดยไม่ต้องพึ่งพาการควบคุมจากรัฐ ซึ่งจะทำให้พระสงฆ์สามารถปฏิบัติธรรมอย่างเป็นอิสระตามพระวินัยและไม่ต้องกังวลกับการยึดติดในตำแหน่งหรือสถานะทางสังคม

เน้นการศึกษาและการเผยแผ่ธรรมะที่เข้าถึงง่าย: การเผยแผ่พระพุทธศาสนาควรเน้นไปที่การให้ความรู้และการส่งเสริมการปฏิบัติธรรมที่เหมาะสมกับยุคสมัย เพื่อให้ประชาชนเข้าใจแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาและไม่ยึดติดกับชื่อเสียง ยศศักดิ์ หรือสถานะใด ๆ

สนับสนุนการบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคมโดยไม่มีข้อผูกมัดทางโลก: การสนับสนุนให้พระสงฆ์บำเพ็ญประโยชน์ต่อชุมชน เช่น การช่วยเหลือสังคมโดยไม่ต้องรับเงินเดือนหรือสิทธิพิเศษจากรัฐ จะทำให้ศาสนาอยู่ในแนวทางที่สอดคล้องกับหลักธรรมและรักษาความเป็นอิสระของพระสงฆ์ได้อย่างแท้จริง


การสร้างจุดสมดุลระหว่างการเป็นอิสระของคณะสงฆ์ การลดการยึดติดในสมณศักดิ์ และการเผยแผ่ธรรมะอย่างยืดหยุ่นอาจช่วยให้พระพุทธศาสนามีความยั่งยืนและสามารถดำรงอยู่ในสังคมไทยได้อย่างมีคุณค่า

วันอาทิตย์, พฤศจิกายน 03, 2567

ฉันจะเรียนรู้ที่จะคิดเหมือนคนเรียนจบ MBA ได้อย่างไร

ฉันจะเรียนรู้ที่จะคิดเหมือนคนเรียนจบ MBA ได้อย่างไร

การเรียนรู้ที่จะคิดแบบคนเรียนจบ MBA มักจะเกี่ยวข้องกับการเข้าใจทักษะและกรอบความคิดที่ MBA สอนให้ผู้เรียน เพื่อให้สามารถนำไปใช้กับการตัดสินใจและการบริหารจัดการธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ นี่คือแนวทางที่คุณสามารถเริ่มต้นได้:

1. ทำความเข้าใจหลักการพื้นฐานของธุรกิจ

  • การเงิน: เรียนรู้เกี่ยวกับการอ่านงบการเงิน การวิเคราะห์อัตราส่วน และการทำความเข้าใจพื้นฐานของการเงินธุรกิจ เพื่อให้สามารถประเมินความสามารถทางการเงินของบริษัทและตัดสินใจเรื่องการลงทุนได้
  • การตลาด: เรียนรู้วิธีวิเคราะห์ตลาดและผู้บริโภค พัฒนากลยุทธ์การตลาด และปรับการวางตำแหน่งของผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด
  • การจัดการการดำเนินงาน: เข้าใจกระบวนการดำเนินงาน ตั้งแต่การจัดการห่วงโซ่อุปทาน การผลิต ไปจนถึงการบริหารสินค้าคงคลัง เพื่อให้กระบวนการทำงานมีประสิทธิภาพและลดต้นทุน
  • การจัดการทรัพยากรบุคคล: การพัฒนาทักษะการจัดการคนในทีมและการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดี

2. ฝึกทักษะการคิดเชิงกลยุทธ์

  • มองไปที่ "ภาพรวม" และตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน คิดเชิงกลยุทธ์เกี่ยวกับการขยายธุรกิจ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ และการรักษาความสามารถในการแข่งขัน
  • ศึกษากรณีศึกษาทางธุรกิจ (Business Case Studies) เพื่อเข้าใจวิธีการคิดและตัดสินใจในสถานการณ์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นวิธีที่ดีในการเห็นกระบวนการคิดแบบคนที่จบ MBA และปรับใช้ในสถานการณ์จริง

3. พัฒนาทักษะการตัดสินใจและการวิเคราะห์

  • เรียนรู้การตัดสินใจโดยอิงข้อมูลและการวิเคราะห์ (Data-Driven Decision Making) ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถประเมินทางเลือกต่าง ๆ และเลือกทางเลือกที่มีโอกาสประสบความสำเร็จสูงสุด
  • ใช้เครื่องมือและเทคนิค เช่น SWOT Analysis, Porter’s Five Forces, และการวิเคราะห์เชิงการเงิน เพื่อช่วยในการวางกลยุทธ์และการตัดสินใจอย่างมีเหตุผล

4. สร้างความเข้าใจในความเสี่ยงและการจัดการความเสี่ยง

  • เข้าใจความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในการดำเนินธุรกิจ เช่น ความเสี่ยงทางการเงิน ความเสี่ยงจากคู่แข่ง ความเสี่ยงในกระบวนการดำเนินงาน เป็นต้น
  • พัฒนาแนวทางการประเมินและบริหารจัดการความเสี่ยง เพื่อทำให้ธุรกิจมั่นคงและพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง

5. ฝึกทักษะการสื่อสารและการเจรจาต่อรอง

  • ทักษะเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์กับพนักงาน หุ้นส่วน ลูกค้า และนักลงทุน ฝึกการนำเสนอและการพูดเพื่อโน้มน้าวในเชิงธุรกิจ
  • ฝึกการเจรจาต่อรองเพื่อหาข้อตกลงที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย (Win-Win Negotiation)

6. ติดตามแนวโน้มและการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม

  • ผู้ที่จบ MBA มักจะติดตามข่าวสาร เทรนด์ และนวัตกรรมใหม่ ๆ ในอุตสาหกรรมเพื่อปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของตลาด
  • อ่านข่าวสารธุรกิจรายวัน, บทความในแวดวงเศรษฐกิจ และวารสารธุรกิจ เช่น Harvard Business Review เพื่อให้คุณเห็นวิธีการวิเคราะห์และมุมมองของผู้บริหารในอุตสาหกรรมต่าง ๆ

7. เรียนรู้จากกรณีศึกษาที่ประสบความสำเร็จและล้มเหลว

  • การเรียนรู้จากประสบการณ์จริงของบริษัทอื่น ๆ จะช่วยให้คุณเข้าใจถึงปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว
  • ลองวิเคราะห์กรณีศึกษาหรือบทความเชิงลึกเกี่ยวกับธุรกิจต่าง ๆ เพื่อดูว่าผู้บริหารและนักวิเคราะห์มองเห็นจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และความท้าทายอย่างไร

8. ฝึกวิเคราะห์แบบเชิงระบบ (Systematic Thinking)

  • การคิดแบบเชิงระบบจะช่วยให้คุณเห็นภาพรวมของการทำธุรกิจ ตั้งแต่การสร้างผลิตภัณฑ์จนถึงการสร้างคุณค่าให้กับลูกค้าและผู้ถือหุ้น
  • ฝึกการเชื่อมโยงปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลกระทบกันและกันในระบบธุรกิจ

หากคุณสามารถนำแนวทางเหล่านี้ไปปรับใช้กับการทำงานหรือการตัดสินใจในชีวิตประจำวันได้ คุณจะเริ่มพัฒนากรอบความคิดแบบ MBA ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถคิดวิเคราะห์และตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การจัดระดับความยากของภาษาสำหรับผู้เรียนที่เป็นคนไทย

 การจัดระดับความยากของภาษาสำหรับผู้เรียนที่เป็นคนไทย โดยยึดตามหลักเกณฑ์การประเมินความใกล้เคียงของภาษาในเชิงโครงสร้างไวยากรณ์ ระบบเสียง และระบบการเขียน หากเราเปรียบเทียบกับแนวทางของ FSI โดยคำนึงถึงผู้เรียนที่เป็นคนไทย ตารางอาจมีลักษณะดังนี้:

ตารางระดับความยากในการเรียนรู้ภาษา (ปรับให้เหมาะสำหรับผู้เรียนชาวไทย)

ระดับกลุ่มภาษาภาษาระยะเวลาที่ใช้เรียนรู้โดยประมาณ
กลุ่มที่ 1ภาษาง่ายลาว, กัมพูชา, มลายู20-30 สัปดาห์ (ประมาณ 500-750 ชั่วโมง)
กลุ่มที่ 2ภาษาที่ยากปานกลางอินโดนีเซีย, พม่า, สเปน, อิตาลี, โปรตุเกส30-50 สัปดาห์ (ประมาณ 750-1,250 ชั่วโมง)
กลุ่มที่ 3ภาษาที่ยากฝรั่งเศส, เกาหลี, เวียดนาม, ดัตช์, นอร์เวย์, สวีเดน40-60 สัปดาห์ (ประมาณ 1,000-1,500 ชั่วโมง)
กลุ่มที่ 4ภาษาที่ยากมากเยอรมัน, โปแลนด์, รัสเซีย, เช็ก, ญี่ปุ่น, ตุรกี50-70 สัปดาห์ (ประมาณ 1,250-1,750 ชั่วโมง)
กลุ่มที่ 5ภาษาที่ยากมากที่สุดจีน (แมนดาริน), อาหรับ, ฮังการี, ฟินแลนด์70-90 สัปดาห์ (ประมาณ 1,750-2,250 ชั่วโมง)

เหตุผลในการจัดกลุ่ม

  1. กลุ่มที่ 1: ภาษาลาว กัมพูชา และมลายู มีโครงสร้างที่คล้ายกับภาษาไทย ทำให้คนไทยเรียนรู้ได้ง่ายขึ้น
  2. กลุ่มที่ 2: อินโดนีเซียและพม่ามีโครงสร้างที่คล้ายภาษาไทยอยู่บ้าง ขณะที่สเปน อิตาลี และโปรตุเกสแม้จะเป็นภาษายุโรป แต่มีโครงสร้างที่ค่อนข้างตรงไปตรงมาและออกเสียงตามตัวอักษร
  3. กลุ่มที่ 3: ภาษาฝรั่งเศส เกาหลี และเวียดนามมีการผันคำหรือโครงสร้างที่ซับซ้อนขึ้น ขณะที่ภาษานอร์เวย์และสวีเดนมีโครงสร้างคล้ายอังกฤษ แต่ยังง่ายกว่าสำหรับคนไทยที่จะเข้าใจ
  4. กลุ่มที่ 4: เยอรมัน โปแลนด์ และเช็กมีโครงสร้างที่ซับซ้อนและคำยาว ส่วนญี่ปุ่นและรัสเซียมีระบบการเขียนและไวยากรณ์ที่แตกต่างจากภาษาไทยอย่างมาก
  5. กลุ่มที่ 5: จีน (แมนดาริน) และอาหรับมีทั้งระบบการเขียน ระบบเสียง และไวยากรณ์ที่แตกต่างจากภาษาไทยสูงสุด ฮังการีและฟินแลนด์มีระบบผันรูปคำซับซ้อนมาก ทำให้เป็นกลุ่มภาษาที่ยากที่สุดสำหรับคนไทย

การจัดระดับเหล่านี้พิจารณาจากความท้าทายทางไวยากรณ์ ระบบเสียง และความซับซ้อนของการเขียนที่คนไทยต้องเผชิญ

วันพุธ, ตุลาคม 30, 2567

Joyce McKinney


 

Joyce McKinney เป็นที่รู้จักในฐานะผู้คว้าตำแหน่ง Miss Wyoming USA ปี 1973 แต่สิ่งที่ทำให้เธอเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกไม่ใช่ตำแหน่งนี้ หากแต่เป็นเรื่องราวอื้อฉาวในปี 1977 ที่รู้จักกันในชื่อ “Manacled Mormon Case”

เรื่องราวเริ่มต้นเมื่อ McKinney ตกหลุมรักกับ Kirk Anderson ชายหนุ่มชาวมอร์มอนที่เธอพบระหว่างอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา Anderson ได้เดินทางไปอังกฤษเพื่อปฏิบัติศาสนกิจของเขาในฐานะมิชชันนารีของศาสนจักรมอร์มอน ทำให้ McKinney รู้สึกเสียใจและพยายามหาวิธีที่จะได้พบเขาอีกครั้ง จึงว่าจ้างนักสืบเอกชนให้ตามหา Anderson จนพบว่าเขาอยู่ในเมือง Ewell ในสหราชอาณาจักร

ในเดือนกันยายน ปี 1977 McKinney พร้อมเพื่อนและผู้ช่วยชายชื่อ Keith May ได้เดินทางไปอังกฤษ และ McKinney ถูกกล่าวหาว่าลักพาตัว Anderson โดยการใช้ปืนบังคับเขา จากนั้นพาเขาไปยังบ้านพักที่เช่าไว้ในเมือง Devon เรื่องราวอื้อฉาวเริ่มขึ้นเมื่อ Anderson อ้างว่าเขาถูกใส่กุญแจมือและกักขังอยู่ในบ้านพัก พร้อมทั้งถูกบังคับให้มีเพศสัมพันธ์กับเธอ

หลังจากเกิดเหตุ Anderson สามารถหนีและแจ้งตำรวจ ทำให้ McKinney และ May ถูกจับกุมในข้อหาลักพาตัวและทำร้ายร่างกาย อย่างไรก็ตาม พวกเขาปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด โดย McKinney อ้างว่า Anderson ยินยอมและมีส่วนร่วมด้วยความเต็มใจ อีกทั้งยังกล่าวว่าเธอทำทุกอย่างจากความรักที่มีต่อเขาและหวังที่จะได้เขากลับคืนมา สื่ออังกฤษให้ความสนใจเป็นอย่างมากกับคดีนี้ และทำให้เรื่องราวอื้อฉาวของ McKinney กลายเป็นข่าวหน้าหนึ่ง โดยเฉพาะรายละเอียดที่เธอกล่าวว่าเธอแต่งชุดขาวผ้าซาติน และเตรียมทุกอย่างให้ Anderson เป็นดั่งฮันนีมูน

หลังจากการถูกควบคุมตัวสักระยะหนึ่ง McKinney ได้รับการประกันตัวออกมา แต่เมื่อเธอพบว่าต้องเข้ารับการพิจารณาคดี เธอและ May ได้หนีออกจากสหราชอาณาจักรโดยใช่หนังสือเดินทางปลอมเพื่อเดินทางกลับสหรัฐอเมริกา คดีของเธอจึงไม่ได้รับการพิจารณาต่อและจบลงในอังกฤษโดยไม่มีคำตัดสินทางกฎหมายใดๆ

เรื่องราวของ McKinney กลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้งในปี 2010 เมื่อผู้กำกับสารคดีชื่อดัง Errol Morris ได้สร้างภาพยนตร์สารคดีชื่อ Tabloid ซึ่งนำเสนอชีวิตของ Joyce McKinney โดยพยายามวิเคราะห์ถึงเหตุการณ์และแรงจูงใจของเธอในการกระทำที่เป็นประเด็นใหญ่ในคดีนั้น ภาพยนตร์ได้เปิดเผยด้านมืดและด้านส่วนตัวของเธอ รวมถึงผลกระทบที่เธอได้รับจากความสนใจของสาธารณชน

หลังจากนั้น McKinney ได้พยายามใช้ชีวิตอย่างสงบและหลีกเลี่ยงจากความสนใจของสื่อ แต่กรณี “Manacled Mormon” ยังคงเป็นหนึ่งในเรื่องอื้อฉาวที่ถูกพูดถึงในวงการสื่อและกฎหมาย

วันจันทร์, ตุลาคม 28, 2567

Great Depression และการวิเคราะห์เปรียบเทียบกับวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง

เกริ่นนำ

Great Depression หรือที่รู้จักกันในภาษาไทยว่า “วิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่” เป็นเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและสร้างบทเรียนที่สำคัญสำหรับการวางนโยบายเศรษฐกิจในปัจจุบัน แม้จะเริ่มขึ้นในสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1929 แต่ผลกระทบกลับแพร่กระจายไปทั่วโลก เป็นช่วงเวลาที่โลกต้องเผชิญกับความยากลำบากทางเศรษฐกิจยาวนานที่สุดและรุนแรงที่สุดช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์ เหตุการณ์นี้จึงกลายเป็นต้นแบบของการศึกษาเกี่ยวกับวิกฤตเศรษฐกิจที่มีหลายปัจจัยสอดประสานกัน และการตอบสนองที่ช้าหรือไม่เหมาะสมก็ทำให้วิกฤตยิ่งทวีความรุนแรง

สาเหตุก่อนเกิด Great Depression

1. ฟองสบู่การเงินและการเก็งกำไรในตลาดหุ้น: ทศวรรษ 1920 หรือที่รู้จักกันในชื่อ "Roaring Twenties" เป็นช่วงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ เติบโตอย่างรวดเร็ว ประชาชนและบริษัทต่าง ๆ พากันลงทุนในตลาดหุ้นด้วยความหวังที่จะสร้างกำไรสูง ความมั่นใจในตลาดหุ้นสูงจนทำให้เกิด ฟองสบู่การเงิน ซึ่งรอวันแตก


2. นโยบายการเงินที่ไม่เหมาะสม: ธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงปี 1928-1929 เพื่อควบคุมภาวะเศรษฐกิจที่ร้อนแรงเกินไป แต่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงเวลานั้นกลับทำให้เกิดสภาพคล่องทางการเงินที่ตึงตัว นักลงทุนและบริษัทต่าง ๆ ประสบความยากลำบากในการกู้ยืมและขยายกิจการ


3. การผลิตล้นตลาด: อุตสาหกรรมและเกษตรกรรมผลิตสินค้าจำนวนมากเกินความต้องการที่แท้จริง ทำให้ราคาสินค้าลดลงและกำไรของธุรกิจลดลงเช่นกัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อธุรกิจหลายแห่ง


4. การกระจายรายได้ไม่เท่าเทียม: รายได้ของประชาชนไม่ได้กระจายอย่างทั่วถึง คนรวยได้รับรายได้สูงขึ้น ขณะที่ประชากรส่วนใหญ่ยังคงมีรายได้ต่ำ ทำให้ความต้องการซื้อสินค้าของตลาดไม่เพียงพอ


5. นโยบายการค้าเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ: สหรัฐฯ ผ่านนโยบายเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศใน Smoot-Hawley Tariff Act ส่งผลให้หลายประเทศตอบโต้ด้วยการเพิ่มภาษีสินค้าของสหรัฐฯ ทำให้การค้าระหว่างประเทศลดลงและกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม



เหตุการณ์สำคัญระหว่าง Great Depression

1. Black Tuesday: ในวันที่ 29 ตุลาคม ค.ศ. 1929 หรือที่เรียกกันว่า "Black Tuesday" นักลงทุนแห่ขายหุ้นเป็นจำนวนมาก ทำให้ตลาดหุ้น Wall Street ประสบการตกต่ำครั้งใหญ่ เหตุการณ์นี้เป็นจุดเริ่มต้นของการล่มสลายของระบบการเงิน


2. วิกฤตธนาคาร: หลังตลาดหุ้นล้ม ประชาชนและนักลงทุนพากันถอนเงินออกจากธนาคาร ทำให้ธนาคารจำนวนมากขาดสภาพคล่องและล้มละลาย สถานการณ์นี้ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนเงินสดในระบบการเงินและทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว


3. การลดลงของการผลิตและการจ้างงาน: เมื่อประชาชนลดการใช้จ่าย โรงงานและธุรกิจต้องลดการผลิตหรือลดขนาดลง ส่งผลให้เกิดการเลิกจ้างงานจำนวนมากและทำให้อัตราการว่างงานพุ่งสูงขึ้นถึงประมาณ 25% ในปี ค.ศ. 1933


4. การแพร่กระจายของวิกฤตสู่ต่างประเทศ: เนื่องจากเศรษฐกิจของโลกเชื่อมโยงกัน การที่สหรัฐฯ ประสบวิกฤตส่งผลต่อประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะยุโรป ซึ่งอ่อนแอจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง


5. การตอบสนองของรัฐบาล: ในช่วงแรก รัฐบาลสหรัฐฯ เชื่อมั่นในการปล่อยให้ตลาดแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง แต่เมื่อเศรษฐกิจไม่ฟื้นตัว ประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี. รูสเวลต์ (Franklin D. Roosevelt) จึงนำเสนอ New Deal ในปี ค.ศ. 1933 ซึ่งเป็นชุดนโยบายที่มุ่งเน้นการสร้างงานสาธารณะ การสนับสนุนเกษตรกร และการปฏิรูปการเงิน เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ



ผลสืบเนื่องของ Great Depression

การเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สองในปี ค.ศ. 1939 ถูกมองว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจสหรัฐฯ เนื่องจากความต้องการผลิตสินค้าสำหรับสงครามกระตุ้นการจ้างงานและการผลิต การฟื้นตัวครั้งนี้เป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้รัฐบาลในยุคถัด ๆ มาให้ความสำคัญกับการแทรกแซงเศรษฐกิจและการปฏิรูปนโยบายการเงินเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤตเช่นนี้อีก


---

เปรียบเทียบ Great Depression กับวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งของประเทศไทย

ความเหมือน

1. การเก็งกำไรและฟองสบู่การเงิน: ทั้งสองวิกฤตเกิดจากฟองสบู่ที่มีการเก็งกำไรมากเกินไป สหรัฐฯ ประสบกับฟองสบู่ในตลาดหุ้น ขณะที่ประเทศไทยมีฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์และการลงทุนในภาคการเงินที่ขาดการควบคุม


2. ปัญหานโยบายการเงินและการกู้ยืม: การกู้ยืมเกินตัวเป็นปัจจัยร่วมในทั้งสองวิกฤต ในสหรัฐฯ ประชาชนกู้ยืมเพื่อการลงทุนในตลาดหุ้น ขณะที่ประเทศไทยเกิดการกู้ยืมเงินจากต่างประเทศจำนวนมากด้วยการผูกค่าเงินบาทไว้กับดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้หนี้ต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว


3. วิกฤตธนาคารและการขาดสภาพคล่อง: ทั้งสองเหตุการณ์นำไปสู่การขาดสภาพคล่องและปัญหาทางการเงิน สหรัฐฯ พบปัญหานักลงทุนถอนเงินออกจากธนาคาร ขณะที่ประเทศไทยเผชิญกับการที่สถาบันการเงินล้มละลาย ทำให้ต้องปิดกิจการหลายแห่งและมีผลกระทบต่อประชาชนอย่างกว้างขวาง



ความต่าง

1. ต้นตอของวิกฤต: สหรัฐฯ ประสบปัญหาจากฟองสบู่ในตลาดหุ้น ขณะที่ประเทศไทยประสบวิกฤตจากภาวะการลงทุนที่ไม่สมดุลและการกู้ยืมต่างประเทศมากเกินไป โดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์และการเงิน


2. การเชื่อมโยงระดับโลก: Great Depression ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางเนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ เป็นเศรษฐกิจใหญ่ที่เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลก ส่วนวิกฤตต้มยำกุ้งของไทยส่งผลกระทบต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นหลัก และไม่กระทบเศรษฐกิจโลกในวงกว้างเท่ากับ Great Depression


3. การตอบสนองและการเยียวยา: สหรัฐฯ ตอบสนองด้วยนโยบาย New Deal ที่มีการแทรกแซงทางเศรษฐกิจในระดับสูงเพื่อสร้างงานและปฏิรูปการเงิน ขณะที่ประเทศไทยได้รับความช่วยเหลือจาก IMF โดยมีการปฏิรูปเศรษฐกิจหลายด้าน เช่น การลดค่าเงินบาทและปรับโครงสร้างหนี้ รวมถึงการเปิดเสรีด้านการเงิน




---

บทสรุป

Great Depression และวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งต่างก็เป็นบทเรียนสำคัญในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจโลก การวิเคราะห์และเปรียบเทียบวิกฤตทั้งสองชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการบริหารนโยบายการเงินและการควบคุมความเสี่ยงทางเศรษฐกิจในระดับประเทศและระดับสากล ทั้งสองวิกฤตชี้ให้เห็นว่าการเก็งกำไรเกินตัวและฟองสบู่ทางเศรษฐกิจมักนำไปสู่การล่มสลายครั้งใหญ่ได้ หากไม่มีมาตรการควบคุมและการจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสม

Great Depression สอนให้เรารู้ถึงความจำเป็นของการแทรกแซงโดยรัฐบาลในยามวิกฤตเพื่อปกป้องเศรษฐกิจและประชาชน ขณะที่ วิกฤตต้มยำกุ้ง แสดงให้เห็นว่าการพึ่งพาการกู้ยืมต่างประเทศและการเปิดเสรีทางการเงินโดยขาดมาตรการป้องกันสามารถทำให้เศรษฐกิจพังทลายได้ การฟื้นตัวจากวิกฤตนี้ต้องอาศัยการปรับโครงสร้างหนี้ การปฏิรูปเศรษฐกิจและการสนับสนุนจากองค์กรระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นบทเรียนที่สำคัญสำหรับประเทศกำลังพัฒนา

แม้วิกฤตทั้งสองจะแตกต่างกันในแง่ของสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและบริบทของการเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลก แต่ทั้งคู่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการสร้างระบบการเงินและเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง มาตรการป้องกันความเสี่ยงที่เหมาะสม และการปรับตัวที่รวดเร็วเมื่อเกิดวิกฤต สิ่งเหล่านี้ยังคงเป็นพื้นฐานสำคัญของการป้องกันวิกฤตเศรษฐกิจในอนาคต




UPERFECT 15.6 inch lapdock

 จัด lapdock 15 นิ้ว ของ uperfect มาละ หลังจากมันลด 10/10 ส่งวันเดียวถึงเลย 


สรุปคือ 

- หนักฉิบหาย พกไปนอกบ้านไม่ได้, 

- จอสีเพี้ยนตาม source เลย ต่อ Dex เพี้ยนซีด ต่อ iPad เพี้ยนสด ปรับอย่างงง,

- ใช้แบบต่อสายดีกว่าไร้สาย ไม่งั้นต้องต่อ bluetooh touchpad กับ keyboard ซึ่งจะตอบสนองช้ากว่าต่อสาย 

- และที่ไม่เข้าใจคือ ทำไมเล่นหนังผ่าน Dex แล้วเสียงมัน delay วะ อิห่า

- ข้อดีคือ จอพับไปด้านหลังได้เลย

- คีย์บอร์ดกับ touchpad ไม่ได้แย่นัก กลางๆ, 

- ลำโพงอย่างห่วยจัดๆ สักแต่มีเสียงออกมา

- แต่ว่าจอสัมผัสนะ แตะได้ 

- มีจุดวางชาร์จไร้สายให้ด้วย


หลังจากได้ลองใช้มาพักนึง ก็มาเพิ่มเติมข้อมูลเพื่อความเป็นธรรม ปัญหาที่เกิดสีเพี้ยน เกิดจาก Samsung รุ่นใหม่พวก phone ที่เริ่มส่งสัญญาณ dex แบบ HDR ซึ่งเป็น RGB(0-256) จากปกติซึ่งส่งที่ RGB(16-256) ทำให้ภาพออกเหลือง แต่พอลองเล่น HDR video จาก youtube (เล่นจาก app เท่านั้น) ทีนี้ส่วนนอกวิดีโอถูกเร่งจนเหลืองขาวจ้าไปหมด ขยายวิดีโอเต็มจอ ทีนี้สีแจ่มเลย เหมือนพวกวิดีโอที่เขาเล่นโชว์ตามร้านทีวีน่ะ สีจะโดดเด้งแบบนั้นเลย แต่ปัญหาคือ ไม่มีคอนเทนต์ HDR ให้เล่นมากขนาดนั้น แต่ถ้ามี มันจะดี


ปัญหาที่พบต่อมาคือ เมื่อต่อกับ Windows ก็ใช้ HDR และสีเพี้ยนเช่นกัน ต้องไปโหลด app ชื่อ HDR Calibration มาเพื่อปรับแต่งสีหน้าจอ ก็จะติดเหลืองนิดๆ ตามสูตร แต่เล่นคลิป HDR แจ่มเช่นกัน  ก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมถึงจัดการจอ HDR ได้แย่กันขนาดนี้
https://www.microsoft.com/store/productId/9N7F2SM5D1LR?ocid=pdpshare 

แล้วก็ใช้กับ Windows แล้ว touchpad เพี้ยนด้วย

การท่องเที่ยวเชิงเหลื่อมล้ำ

ประเทศไทยเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของประเทศที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก โดยเฉพาะคนจากประเทศที่มีรายได้สูงกว่า เช่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป และประ...