วันจันทร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

อย่าเพิ่งด่าพระ... ถ้ายังไม่รู้จริง

ในยุคที่สื่อออนไลน์ครองโลก ข่าวสารไหลบ่าเหมือนพายุ คนจำนวนมาก "ตัดสิน" พระภิกษุสงฆ์กันอย่างง่ายดาย บางรูปถูกแชร์กล่าวหาว่าประพฤติไม่เหมาะสม บางรูปถูกล้อเลียน บางรูปถูกด่าเสีย ๆ หาย ๆ โดยที่ผู้วิจารณ์ไม่เคยรู้จัก หรือเข้าใจบริบทของท่านเลย

คำสอนหนึ่งที่ควรแก่การหยิบมาทบทวนในช่วงเวลานี้ คือคำเตือนจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช ที่กล่าวไว้ว่า:

"อย่าไปปรามาสพระที่เราไม่รู้ภูมิธรรมของท่าน ผิดไปจะเป็นการปิดกั้นโอกาสบรรลุธรรมของตนเอง"

คำนี้ไม่ใช่แค่ "อย่าด่าพระมั่ว ๆ" แต่มีความลึกทางจิตวิญญาณอย่างยิ่ง เพราะ "การปรามาส" ในภาษาธรรม ไม่ใช่แค่การด่าทอ แต่รวมถึงการดูแคลน เหยียดหยาม หรือแม้แต่คิดในใจว่า "ท่านนี่ก็ธรรมดา ไม่เห็นน่าเคารพอะไรเลย"

ทำไมการปรามาสจึงอันตราย?

  1. เพราะเราไม่รู้ว่าใครเป็นใครจริง ๆ
    พระอรหันต์หลายรูปในอดีต ไม่ได้มีรูปลักษณ์หรือบุคลิกที่ดู "ศักดิ์สิทธิ์" เสมอไป บางรูปทำตัวแปลก ๆ พูดไม่เหมือนใคร เพื่อหลีกเร้นจากโลกีย์ แต่กลับถูกรุมด่าจากชาวบ้าน ทั้งที่ท่านหลุดพ้นแล้ว

  2. เพราะใจที่ดูหมิ่น จะไม่สามารถเข้าถึงธรรมได้
    ธรรมะเป็นของละเอียด ถ้าใจเต็มไปด้วยอัตตา ความมั่นใจว่าตน "รู้ดีกว่า" จะปิดบังไม่ให้เห็นธรรมตามจริง แม้พระจะพูดของจริง ก็ไม่สามารถซึมซับได้

  3. เพราะปรามาสอาจเป็นการตัดรากทางจิตของตนเอง
    เหมือนคนตัดต้นไม้แล้วถอนรากของตัวเองโดยไม่รู้ตัว ทำให้ไม่มีทางโตขึ้นในธรรมได้เลย

แล้วถ้าพระผิดจริงล่ะ?

คำถามยอดนิยม: "ถ้าพระทำผิดจริง จะวิจารณ์ไม่ได้เลยเหรอ?"

ตอบตรง ๆ คือ วิจารณ์ได้ แต่...

  • ต้องแยกให้ออกว่า "เรากำลังพูดด้วยเหตุผล หรือพูดด้วยอารมณ์?"

  • เรากำลังเตือนด้วยเมตตา หรือสะใจกับการซ้ำเติม?

ในพระธรรมวินัย พระที่มีเพศสัมพันธ์จริง ๆ ถือว่า "ขาดจากความเป็นพระ" (ปาราชิก)
เขาอาจไม่ใช่พระอีกต่อไปในทางธรรม
แต่ เรายังต้องรักษาใจของเราให้ไม่ตกต่ำไปพร้อมเขา

คนยุคใหม่อาจไม่เชื่อเรื่องบาปกรรม แล้วจะกลัวอะไร?

นี่ก็จริงอีก—คนยุคใหม่จำนวนไม่น้อย ไม่อิน ไม่เชื่อ หรือไม่แคร์เรื่องบาป บุญ นรก สวรรค์ หรือมรรคผล

แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่ทุกคนเข้าใจได้ คือ ผลของพฤติกรรมในโลกปัจจุบัน:

  • คนที่ด่าแรง พูดหยาบ พูดซ้ำเติมบ่อย ๆ จะมีจิตใจรุ่มร้อน กระสับกระส่าย ไม่สงบ

  • สังคมที่มัวแต่ไล่ล่าพระแบบล่าแม่มด จะทำให้คนดีไม่กล้าออกบวช เพราะกลัวโดนเหมารวม

  • เด็ก ๆ จะโตมาโดยไม่เห็นคุณค่าศาสนา เพราะสื่อเต็มไปด้วยการขยี้ผ้าเหลือง มากกว่าจะอธิบายธรรมะ

สรุปแบบเข้าใจง่าย:

ด่าพระเลว ไม่ได้ทำให้เราเป็นคนดี
การรู้จักวิจารณ์อย่างมีเมตตา ไม่ด่วนตัดสิน ไม่เห่าตามฝูง คือ "วุฒิภาวะทางธรรม"

ถ้าไม่รู้จริง อย่าเพิ่งด่า ถ้าเห็นผิดจริง ก็พูดด้วยสติ ไม่ใช่สะใจ
เพราะแม้เขาจะลาสิกขาไปแล้ว

เราเองก็อย่าลาสิกขาจากความดีในใจ

... 

ขอฝากไว้ให้คิดด้วยใจสงบ...

วันอังคารที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

บทวิเคราะห์: จดหมายจากประธานาธิบดีทรัมป์ถึงนายสุริยะ กับสัญญาณการเปลี่ยนแปลงท่าทีของสหรัฐฯ ต่อประเทศไทย

บริบทของจดหมายและความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์

วันที่ 7 กรกฎาคม 2025 ประธานาธิบดี Donald J. Trump ส่งจดหมายจากทำเนียบขาวถึง "นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ" ในฐานะนายกรัฐมนตรีรักษาการของไทย เนื้อหาภายในดูผิวเผินเหมือนเป็นหนังสือแจ้งเตือนเรื่องภาษีการค้า แต่หากวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งแล้ว จดหมายฉบับนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในความสัมพันธ์ไทย–สหรัฐอเมริกา ที่เคยแน่นแฟ้นยาวนานกว่า 190 ปี และมีนัยยะเชิงยุทธศาสตร์ที่ลึกกว่าที่เห็นภายนอก

สาระสำคัญของจดหมาย

จดหมายมีน้ำเสียงกดดันอย่างชัดเจน โดยระบุว่าสหรัฐฯ จะขึ้นภาษีสินค้าจากประเทศไทยเป็นอัตรา 36% ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2025 โดยให้เหตุผลว่าไทยมีการตั้งกำแพงภาษีและกีดกันการค้าของสหรัฐฯ มาโดยตลอด และการขาดดุลการค้าระหว่างสองประเทศนั้นเป็นภัยต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติสหรัฐอเมริกา การใช้คำว่า "ภัยคุกคามต่อความมั่นคง" ไม่ได้เป็นคำกล่าวลอย ๆ แต่สื่อถึงการจัดลำดับประเทศไทยในเชิงนโยบายความมั่นคง ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นในท่าทีทางการทูตสหรัฐฯ ต่อไทยในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา

สหรัฐฯ เปิดช่องทางเดียวที่จะไม่ต้องเสียภาษีนี้ คือ บริษัทไทยต้องย้ายฐานการผลิตเข้าสหรัฐฯ ซึ่งจะได้รับการอนุมัติแบบ "รวดเร็วและเป็นมืออาชีพ" โดยมีการรับประกันว่าเอกสารต่าง ๆ จะได้รับการพิจารณาอย่างรวดเร็ว "ภายในไม่กี่สัปดาห์" หากไทยโต้กลับด้วยการขึ้นภาษี สหรัฐฯ จะเพิ่มภาษีทบเข้าไปทันที ซึ่งเป็นลักษณะของมาตรการตอบโต้เชิงโครงสร้าง

วิเคราะห์ด้านการทูต: มิตรภาพที่แปรเปลี่ยนเป็นการแข่งขัน

จดหมายนี้ไม่มีถ้อยคำแสดงความสัมพันธ์ฉันมิตร ไม่มีการอ้างถึงอดีตแห่งความร่วมมือ ไม่เอ่ยถึงพันธมิตรยุทธศาสตร์ ไม่แม้แต่จะกล่าวถึงความเคารพในอธิปไตยของประเทศไทย กลับเน้นการข่มขู่ทางภาษีและผลประโยชน์ทางธุรกิจล้วน ๆ ซึ่งต่างจากแนวทางการทูตแบบเดิมอย่างสิ้นเชิง

แม้ขึ้นต้นด้วยคำว่า “Dear Mr. Prime Minister” ซึ่งเป็นธรรมเนียมสากล แต่ถ้อยคำอย่าง “You will never be disappointed with The United States of America” หรือ “we will charge Thailand a Tariff of only 36%” กลับสะท้อนถึงวาทกรรมแบบธุรกิจมากกว่าการทูตระหว่างประเทศ มีลักษณะคล้ายโฆษณาเชิงการตลาดมากกว่าคำประกาศทางการทูตจากมหาอำนาจ

นอกจากนี้ การเสนอให้บริษัทไทยย้ายฐานการผลิตเข้าสหรัฐ แลกกับการยกเว้นภาษี ยังถือเป็นการใช้ Soft Blackmail ซึ่งอาจกระทบความสัมพันธ์ระยะยาวได้หากไม่มีการเจรจาอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะหากรัฐบาลไทยแสดงท่าทีอ่อนข้อ อาจทำให้เกิดแรงกดดันจากประชาชนและกลุ่มอุตสาหกรรมภายในประเทศได้เช่นกัน

มิติทางประวัติศาสตร์: เมื่อมิตรเก่าไม่ใช่มิตรแท้เสมอไป

แม้ว่าในประวัติศาสตร์ไทย–สหรัฐอเมริกา จะมีความร่วมมือหลายมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การทหาร ความมั่นคง และวัฒนธรรม แต่จดหมายฉบับนี้ก็แสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์เหล่านั้นไม่ได้รับการยกขึ้นมาเป็นข้อพิจารณาในนโยบายการค้าปัจจุบันของสหรัฐฯ อีกต่อไป

ประเทศไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียที่ลงนามสนธิสัญญาทางการค้ากับสหรัฐฯ คือ "สนธิสัญญาไมตรีและพาณิชย์" (Treaty of Amity and Commerce) ซึ่งลงนามเมื่อปี พ.ศ. 2376 (ค.ศ. 1833) ระหว่างสมัยรัชกาลที่ 3 โดยมีนายเอ็ดมันด์ โรเบิร์ตส์ (Edmund Roberts) เป็นทูตสหรัฐฯ ผู้ลงนามฝ่ายอเมริกัน และยังเป็นพันธมิตรในสงครามเย็น สงครามเกาหลี และสงครามเวียดนาม มีฐานทัพอเมริกันในไทยหลายแห่ง และความร่วมมือในด้านข่าวกรองตลอดศตวรรษที่ 20 ซึ่งส่งผลต่อโครงสร้างอำนาจและภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตัวอย่างเช่น ความร่วมมือด้านการทหารภายใต้การฝึกร่วม "Cobra Gold" ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีตั้งแต่ พ.ศ. 2524 ถือเป็นหนึ่งในการฝึกผสมทางทหารที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นสัญลักษณ์ของพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ไทย–สหรัฐฯ ในระดับภูมิภาค นอกจากนี้ ยังมีความร่วมมือในโครงการด้านการข่าวกรอง การต่อต้านยาเสพติด การบรรเทาภัยพิบัติ การรักษาสันติภาพ และความช่วยเหลือด้านสาธารณสุขในพื้นที่ชายแดนตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ดังกล่าวเริ่มลดลงหลังยุคสงครามเย็น โดยเฉพาะในช่วงหลังปี 2001 ที่สหรัฐฯ หันเหความสนใจไปยังตะวันออกกลางและกลุ่มประเทศพันธมิตรใหม่ในอินโดแปซิฟิก การเปลี่ยนผ่านนโยบายจากรัฐบาลสหรัฐฯ หลายชุด ทำให้ไทยถูกจัดลำดับความสำคัญทางยุทธศาสตร์ลดลง จนกระทั่งในรัฐบาลทรัมป์ซึ่งยึดหลัก “America First” อย่างชัดเจน ความสัมพันธ์ไทย–สหรัฐฯ ถูกลดความสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์ลง และเน้นเพียงผลประโยชน์ทางการค้าเป็นหลัก หากไทยไม่สามารถแสดงบทบาทเชิงเศรษฐกิจที่สหรัฐฯ ต้องการได้ ก็จะถูกมองเป็นเพียงคู่ค้าทั่วไป มิใช่พันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์อีกต่อไป จดหมายฉบับนี้อาจสะท้อนการจัดวางประเทศไทยใหม่ในแผนที่ยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ว่าเป็น "คู่ค้าทั่วไป" ไม่ใช่ "พันธมิตรยุทธศาสตร์พิเศษ"

ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

  1. ภาคส่งออกของไทยเผชิญแรงกดดันมหาศาล โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และสิ่งทอ ที่พึ่งตลาดสหรัฐในสัดส่วนสูง ความผันผวนของต้นทุนภาษีจะทำให้เกิดความไม่แน่นอนในการวางแผนการผลิตและกระทบห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศ

  2. นักลงทุนต่างชาติอาจชะลอการลงทุนในไทย หากมองว่าไทยจะกลายเป็นเป้าของมาตรการกีดกันทางการค้า โดยเฉพาะนักลงทุนจากประเทศที่เน้นการส่งออกเข้าสหรัฐ ซึ่งอาจหันไปลงทุนในประเทศอื่นที่ได้รับสิทธิพิเศษจากสหรัฐมากกว่า

  3. เกิดการเร่งเจรจา FTA ไทย–สหรัฐ หรือหันไปพึ่งพาตลาดอื่นมากขึ้น เช่น จีน อินเดีย หรือ EU เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งตลาดเดียว ซึ่งจะส่งผลต่อทิศทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว และอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในนโยบายภาษี ศุลกากร และความร่วมมือด้านการเงิน

  4. ผลกระทบทางภูมิรัฐศาสตร์ หากไทยตอบโต้ทางการค้า อาจส่งผลต่อความร่วมมือในระดับความมั่นคง เช่น การฝึก Cobra Gold หรือความร่วมมือด้านเทคโนโลยีขั้นสูง ความไม่พอใจของสหรัฐอาจสะท้อนผ่านการลดบทบาทหรือทรัพยากรในโครงการความร่วมมือระหว่างประเทศ


ทางออกและทางรอดของไทยในฐานะประเทศขนาดกลาง

แม้ประเทศไทยจะไม่สามารถใช้มาตรการตอบโต้เชิงพลังอำนาจแบบเดียวกับมหาอำนาจได้ แต่ก็ยังมีช่องทางในการรักษาผลประโยชน์ของตนเองผ่านกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดและการทูตแบบพหุภาคี ซึ่งอาจรวมถึง:

  1. การกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ (Diversification) – ไทยควรลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐโดยเร่งเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศและกลุ่มเศรษฐกิจอื่น ๆ เช่น สหภาพยุโรป อินเดีย จีน หรือการเข้าร่วมกลุ่ม CPTPP อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อสร้างเครือข่ายการค้าทดแทน

  2. การเสริมสร้างอำนาจต่อรองในเวทีระหว่างประเทศ – ไทยสามารถใช้องค์กรระดับภูมิภาค เช่น ASEAN, APEC และ WTO เป็นเวทีเจรจาร่วมกับประเทศที่มีสถานะใกล้เคียงกันในการต่อต้านนโยบายกีดกันทางการค้าแบบฝ่ายเดียวของสหรัฐ

  3. การเสริมสร้างเศรษฐกิจภายในประเทศ – การลงทุนในอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เช่น เทคโนโลยีดิจิทัล พลังงานสะอาด และการแพทย์แผนใหม่ จะช่วยลดความเปราะบางจากการพึ่งพาการส่งออกวัตถุดิบหรือสินค้าราคาต่ำ

  4. การใช้การทูตเชิงสมดุล (Hedging Strategy) – ไทยควรสร้างดุลอำนาจระหว่างมหาอำนาจ โดยรักษาความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ในขณะเดียวกันก็เปิดความร่วมมือกับจีน อินเดีย ญี่ปุ่น และ EU อย่างรอบคอบ เพื่อไม่ให้ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยสิ้นเชิง

  5. การสื่อสารกับประชาคมโลกอย่างชัดเจน – ไทยควรแสดงจุดยืนทางเศรษฐกิจที่ยึดหลักความเป็นธรรม การเคารพในกติกาสากล และความโปร่งใส เพื่อเสริมภาพลักษณ์ของประเทศในสายตานักลงทุนและประชาคมโลก


บทสรุป

จดหมายจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งนี้ไม่ใช่แค่การประกาศนโยบายภาษี แต่คือเครื่องมือทางยุทธศาสตร์ที่แสดงให้โลกเห็นว่าสหรัฐฯ พร้อมจะกดดันแม้กระทั่งพันธมิตรเก่า หากไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของตน การใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจเพื่อจัดระเบียบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นแนวโน้มที่เด่นชัดในยุคหลังโควิด และท่าทีเช่นนี้อาจกลายเป็นแบบแผนใหม่ของการทูตโลกในศตวรรษที่ 21

สำหรับประเทศไทย นี่คือสัญญาณเตือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในโลกปัจจุบันไม่ได้ยึดโยงด้วยมิตรภาพเสมอไป แต่คือการต่อรองบนเวทีผลประโยชน์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การทูตไทยจึงต้องยืดหยุ่น มีกลยุทธ์รอบด้าน และเตรียมแผนสำรองไว้อย่างรัดกุม หากไม่อยากเป็น “เบี้ย” บนกระดานของมหาอำนาจ การมีพันธมิตรที่หลากหลาย การลดการพึ่งพาตลาดเดียว และการส่งเสริมขีดความสามารถภายในประเทศจะกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาอธิปไตยทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ในระยะยาว

วันจันทร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

บันทึกความระยำของจักรวรรดินิยม: ใครยึดใคร ฝากขี้อะไรไว้ แล้วแม่งลอยนวลได้ไง

ในโลกที่เราคิดว่าเจริญแล้ว มี UN มีสิทธิมนุษยชน มีศาลโลก มีรัฐธรรมนูญ… แต่กลับมีบาดแผลเลือดสาดเป็นร่องลึกในหน้าประวัติศาสตร์มนุษย์ ที่แม่งยังไม่ได้รับการเยียวยาเลย เพราะคนที่ทำมัน “ใหญ่เกินจะโดน” …นี่คือรายชื่อประเทศ “เหี้-มีบารมี” ที่ยึดชาติอื่นเป็นอาณานิคม แล้วฝากขี้เอาไว้ให้ชาติเขาแตกแยก พังพินาศ ฆ่ากันเองจนทุกวันนี้ แต่ตัวเองลอยตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


🇧🇪 เบลเยียม – เล็กพริกขี้หนู พลังฆ่าคนเป็นล้าน

❖ ยึด: คองโก, รวันดา, บุรุนดี (แอฟริกากลาง)

❖ ผู้นำตัวเหี้-:

  • King Leopold II (ครองราชย์ 1865–1909): กษัตริย์เบลเยียมผู้ยึด "Congo Free State" เป็นทรัพย์สินส่วนตัว ฆ่าคนไปกว่า 10 ล้าน สร้างระบบกดขี่แรงงานด้วยการตัดแขนเด็ก-ผู้ใหญ่ที่เก็บยางไม่ครบ ติดสินบนหมู่บ้านผ่านการจับตัวผู้หญิงเป็นตัวประกัน ข่มขืนเด็ก ใช้กองกำลัง Force Publique รีดแรงงานท้องถิ่นแบบไร้มนุษยธรรม

  • หลัง Leopold ตาย รัฐเบลเยียมรับเอาคองโกมาเป็นอาณานิคม แต่ยังคงโครงสร้างกดขี่แบบเดิมไว้จนถึงการปลดปล่อยในปี 1960

  • ในรวันดาและบุรุนดี ช่วงตกเป็นอาณานิคมเบลเยียม (1919–1962): ใช้ระบบวัดกระดูกหน้าผาก จมูก ความสูง เพื่อแบ่งว่าใครเป็นทุตซี ใครเป็นฮูตู สร้างบัตรประชาชนที่ฝังเชื้อชาติลงไปอย่างเป็นระบบในปี 1933 เพื่อวางกลไกให้เกิดชนชั้นแบบฝังลึก

❖ ของฝาก:

  • ระบบบัตรประจำตัวประชาชนที่ระบุเผ่าแบบไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้

  • ทุตซีถูกยกให้เป็นชนชั้นนำ ฮูตูถูกกดไว้ข้างล่าง → สะสมความแค้น

  • พอรวันดาได้เอกราช → ฮูตูล้างแค้น → ระเบิดเป็น การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ปี 1994 ตายกว่า 800,000 คนใน 100 วัน

❖ ลอยนวลยังไง:

  • ไม่มีการไต่สวน King Leopold II ทั้งที่หลักฐานโหดเหี้-ชัดเจน

  • ปี 2020 กษัตริย์ Philippe แค่เขียนจดหมาย "เสียใจ" ส่งให้ผู้นำคองโก ไม่ได้กล่าวคำขอโทษ ไม่ได้เสนอชดเชย ไม่ได้รับโทษแม้แต่นิดเดียว

  • รัฐบาลเบลเยียมยังไม่ยอมรับเต็มที่ว่าการกระทำในคองโกเป็น “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” หรือ “อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ”


🇬🇧 อังกฤษ – ผู้ดีหัวทอง…แต่เหี้-ทั่วโลก

❖ ยึด: อินเดีย, ปากีสถาน, บังคลาเทศ, พม่า, มาเลเซีย, ไนจีเรีย, เคนยา, อียิปต์, ฮ่องกง, ซูดาน, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, ฯลฯ

❖ ผู้นำ/ผู้รับผิดชอบช่วงเหี้-:

  • Robert Clive: ผู้บุกเบิกการยึดอินเดียให้ British East India Company ตั้งแต่ปี 1757 (Battle of Plassey) → วางระบบรีดภาษี-ปล้นทรัพยากร → ทำให้อินเดียกลายเป็นแหล่งดูดทอง-ฝ้าย-ข้าวที่อังกฤษใช้สะสมทุนปฏิวัติอุตสาหกรรม

  • Winston Churchill (นายกฯ อังกฤษช่วง WWII): ปล่อยให้เกิด Great Bengal Famine ปี 1943 โดยปฏิเสธการส่งข้าวช่วยคนอินเดีย → มีการสั่งเบนเสบียงไปให้กองทัพอังกฤษแทน → ชาวบ้านตายกว่า 3 ล้านคน → Churchill ตอบว่า "มันก็เป็นความผิดของพวกมันเองที่ขยายพันธุ์มากเกินไป"

❖ ความเหี้-:

  • ปล้นทรัพยากรอินเดียจน GDP จากเคยมีสัดส่วน 24% ของโลก เหลือไม่ถึง 4% เมื่ออังกฤษถอนตัว

  • ยัดระบบเจ้าขุนมูลนายแบบอังกฤษเข้าไปทั่วโลก ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำใหม่แทนระบอบดั้งเดิม

  • ก่อ สงครามฝิ่น กับจีน (Opium Wars) เพื่อเปิดตลาดบังคับให้จีนรับฝิ่นจากอังกฤษ

  • ใช้แรงงานทาสอินเดีย/แอฟริกันส่งออกไปยังประเทศอื่น เช่น คาริบเบียน มาเลย์ แอฟริกาใต้

  • ฆ่าล้างและไล่ล่าเผ่าพื้นเมืองในออสเตรเลีย (Aboriginals) และนิวซีแลนด์ (Maori)

❖ ของฝาก:

  • ความเกลียดชังทางศาสนาในอินเดีย–ปากีสถานจากการแบ่งแยกแบบไม่มีแผน

  • ระบอบการปกครองที่ฝังความเหลื่อมล้ำจนกลายเป็นโครงสร้างถาวร

❖ ลอยนวลยังไง:

  • ราชวงศ์อังกฤษสร้างภาพ soft power ด้วยความหรูหราและพิธีกรรมแบบ "ไม่มีพิษภัย"

  • ไม่เคยจ่ายค่าชดเชยแก่ชาติอาณานิคมใดๆ

  • ปั้นภาพประเทศผู้ปกครองด้วยระบอบรัฐธรรมนูญเสรี จนกลบประวัติเหี้-พังพินาศไว้ได้หมด


🇫🇷 ฝรั่งเศส – เสรีภาพภราดรภาพ…แต่กับพวกกูเท่านั้น

❖ ยึด: เวียดนาม, ลาว, กัมพูชา (อินโดจีน), แอลจีเรีย, ตูนิเซีย, โมร็อกโก, มาลี, เซเนกัล, กินี, ฯลฯ

❖ ผู้นำเหี้-:

  • Napoleon III: เริ่มล่าอินโดจีน

  • Paul Doumer: ข้าหลวงใหญ่ในอินโดจีน วางโครงสร้างรีดภาษี-แรงงานจากเวียดนาม

  • Charles de Gaulle: ผู้นำฝรั่งเศสที่ปฏิเสธการปล่อยแอลจีเรีย → ส่งทหารเข้าปราบปรามด้วยความโหดเหี้-

❖ ความเหี้-:

  • ใช้ระบบการศึกษาแบบฝรั่งเศสบังคับให้ชาวพื้นเมือง "ทิ้งวัฒนธรรมตัวเอง"

  • ฝังแนวคิดว่าฝรั่งเศสคือ "ความศิวิไลซ์" ส่วนพวกอาณานิคมคือ "คนป่า"

  • ปราบปรามการลุกฮือในแอลจีเรียอย่างโหดเหี้- ปี 1954–1962 ตายกว่าครึ่งล้าน

  • ทดสอบนิวเคลียร์ในหมู่เกาะ French Polynesia โดยไม่บอกชาวบ้าน → คนป่วย-ลูกพิการ

❖ ของฝาก:

  • เขมรถูกปกครองแบบไร้การเตรียมพร้อม → พอฝรั่งเศสถอนตัว เกิดสุญญากาศ จน Pol Pot ก้าวขึ้นมาฆ่าล้างชาติเอง

  • ความตึงเครียดด้านเชื้อชาติในฝรั่งเศสปัจจุบัน เช่น ปัญหาแอลจีเรีย

❖ ลอยนวลยังไง:

  • ไม่มีศาลโลกหรือการชดใช้

  • มักใช้วาทกรรม "เสรีภาพ" กลบความโหดที่เคยทำ

  • ไม่เคยสอนประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสในเวอร์ชันที่เป็นเหี้-แก่ประชาชนฝรั่งเศสเอง


🇯🇵 ญี่ปุ่น – นักล่าอาณานิคมสายเอเชีย

❖ ยึด: เกาหลี, ไต้หวัน, จีนตะวันออก, ฟิลิปปินส์, พม่า, อินโดนีเซีย, มาเลย์, ฯลฯ

❖ ตัวละครเหี้-:

  • Emperor Hirohito: กษัตริย์ญี่ปุ่นช่วง WWII แม้จะไม่สั่งตรง แต่มีอำนาจเหนือรัฐบาล

  • Hideki Tojo: นายกฯญี่ปุ่นในสงครามโลกที่ 2 สั่งบุกจีน ฟิลิปปินส์ อินโดฯ พม่า

  • Shiro Ishii: ผอ.หน่วย 731 ผู้ทดลองจับมนุษย์จีน รัสเซีย เกาหลีมาผ่าตัดไม่วางยา ปล่อยให้ติดเชื้อ-แข็งตาย มีบันทึกผลวิจัยอย่างเป็นระบบ

❖ ความเหี้-:

  • ลักพาตัวผู้หญิงจากเกาหลี–จีนไปเป็น Comfort Women ประจำค่ายทหาร

  • ฆ่าล้างหมู่ Nanjing ปี 1937 ฆ่าประชาชนจีนกว่า 300,000 คน

  • หน่วย 731 ทดลองกับมนุษย์แบบซาดิสม์

  • ฆ่าล้างหมู่ในฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ระหว่างยึดครอง

❖ ของฝาก:

  • รอยร้าวทางจิตวิญญาณในเกาหลีและจีน

  • ญี่ปุ่นยังมีนักการเมืองปฏิเสธความผิดแบบออกสื่ออยู่ทุกปี

❖ ลอยนวลยังไง:

  • สหรัฐกัน Hirohito ไม่ให้ถูกดำเนินคดี เพื่อให้ญี่ปุ่นไม่ล่มหลังสงคราม

  • ขอโทษแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ ไม่ชัดเจน ไม่จ่ายชดเชยโดยตรง

  • ญี่ปุ่นยังไม่ยอมลงนามยอมรับเขตอำนาจ ICC


🇺🇸 สหรัฐอเมริกา – ไม่เรียกตัวเองว่า “อาณานิคม” แต่แม่งเหมือนที่สุด

❖ ยึดอิทธิพล: ลาตินอเมริกา, ฟิลิปปินส์, เกาหลีใต้, อิรัก, อัฟกานิสถาน, เวียดนาม, ไทย (บางช่วง), ฯลฯ

❖ ตัวแสบ:

  • Theodore Roosevelt: นโยบาย Big Stick → บุกปานามา สร้างคลองเองแม่งเลย

  • Dwight Eisenhower: อนุมัติ CIA ล้มรัฐบาลอิหร่าน (1953) กับกัวเตมาลา (1954)

  • Richard Nixon: สนับสนุนเผด็จการ Pinochet หลังโค่นรัฐบาลประชาธิปไตยของชิลี

  • George W. Bush: บุกอิรักปี 2003 อ้างเรื่องอาวุธชีวภาพ → ไม่มีจริง

❖ ความเหี้-:

  • สนับสนุนรัฐประหารที่ตรงผลประโยชน์ตะวันตก

  • ลอบสังหารผู้นำฝ่ายซ้ายทั่วโลก

  • ปล่อยข่าวปลอม ปั่นความขัดแย้งภายในประเทศเป้าหมาย

  • ยึดทรัพยากรผ่านการครอบงำเศรษฐกิจ-เทคโนโลยี

❖ ของฝาก:

  • ประเทศอย่างอิรัก-ลิเบีย-อัฟกานิสถานพังยับหลังสหรัฐบุก “เพื่อประชาธิปไตย”

  • ผู้นำเผด็จการหลายรายได้ขึ้นสู่อำนาจเพราะอเมริกา เช่น สุฮาร์โต (อินโดนีเซีย)

❖ ลอยนวลยังไง:

  • เป็นผู้ชนะสงครามโลก → คุมระบบ UN และ Bretton Woods System

  • คุมค่าเงินโลก (USD), คุมเทคโนโลยี, คุมโซเชียลมีเดีย

  • ไม่ยอมลงนามรับเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) = ฟ้องไม่ได้

  • ใครค้าน → โดนคว่ำบาตร / ป้ายสีเป็นศัตรูประชาธิปไตย




🇵🇹 โปรตุเกส – ล่าโลกตั้งแต่ยังไม่มีแผนที่

❖ ยึด: บราซิล, โมซัมบิก, แองโกลา, กัว (อินเดีย), ติมอร์ตะวันออก, มาเก๊า

❖ ความเหี้-:

  • ค้าทาสข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกยุคต้น (ศตวรรษที่ 15–16)

  • บังคับขนแรงงานจากแอฟริกาไปบราซิลโดยเรือขนคนแบบทาส

  • ใช้แรงงานทาสในไร่อ้อย กาแฟ เหมือนวัวควาย

  • ล้างเผ่าพื้นเมืองบราซิลเพื่อยึดดินแดน

  • เปลี่ยนศาสนา-วัฒนธรรมท้องถิ่นในอินเดีย (Goa Inquisition)

❖ ของฝาก:

  • บราซิลมีโครงสร้างเชื้อชาติ–ชนชั้นฝังลึกมาจากยุคนี้

  • ติมอร์ตะวันออกกลายเป็นรัฐไร้เสถียรภาพหลังโปรตุเกสถอนตัว

  • แอฟริกาตะวันออกเฉียงใต้ยังมีความปั่นป่วนภายหลังการถอนตัวของโปรตุเกส


🇳🇱 เนเธอร์แลนด์ (ดัตช์) – เล็กแต่ลึก

❖ ยึด: อินโดนีเซีย, ซูรินาเม, แอฟริกาใต้ (ยุคต้น), แคริบเบียน (Aruba, Curaçao, ฯลฯ)

❖ ความเหี้-:

  • บังคับปลูกเครื่องเทศในชวาและหมู่เกาะโมลุกกะ โดยใช้แรงงานบังคับ

  • ฆ่าประชาชนอินโดนีเซียที่ลุกฮือหลายแสน โดยเฉพาะปี 1945–1949

  • สร้างโครงสร้างสังคมแบ่งเชื้อชาติ (ดัตช์–จีน–พื้นเมือง) เพื่อควบคุม

  • ใช้การศึกษา-ศาสนาเปลี่ยนความคิดประชากร

  • ในซูรินาเม ใช้แรงงานผสมหลายชาติพันธุ์แบบไม่ให้สิทธิ์อะไรเลย

❖ ของฝาก:

  • อินโดนีเซียมีชนกลุ่มน้อยหลายเชื้อชาติปะปนและแตกแยกทางอำนาจ

  • ระบบชนชั้นผิว/วรรณะในซูรินาเมและแคริบเบียนยังฝังอยู่จนทุกวันนี้


🇪🇸 สเปน – ฆ่าผืนทวีปทั้งอัน

❖ ยึด: อเมริกาใต้เกือบทั้งหมด, เม็กซิโก, ฟิลิปปินส์, คิวบา, เปอร์โตริโก

❖ ความเหี้-:

  • ส่งกองเรือ Conquistador เช่น Hernán Cortés และ Francisco Pizarro
    → ฆ่า/กวาดล้างอารยธรรม Aztec, Maya, Inca

  • ข่มขืน, ทรมาน, กดขี่, เผาเมือง, บังคับเปลี่ยนศาสนา

  • สร้างระบบ Encomienda: ให้คนขาวสิทธิ์ครอบครองแรงงานพื้นเมืองได้เหมือนทรัพย์สิน

  • ส่งบาทหลวงสเปนมา “ล้างบาป” ด้วยดาบ

❖ ของฝาก:

  • ละตินอเมริกาเปลี่ยนเป็นระบบราชวงศ์-ศาสนาแบบสเปน

  • สังคมแบบ “ผิวขาวปกครอง ผิวเข้มทำงาน”

  • ปัญหา land ownership แบบ feudalist ที่ฝังลึกจนถึงศตวรรษ 21


🇮🇹 อิตาลี – สายเถื่อนยุคปลาย

❖ ยึด: ลิเบีย, เอริเทรีย, เอธิโอเปีย, โซมาเลีย

❖ ความเหี้-:

  • Benito Mussolini สั่งบุกเอธิโอเปียปี 1935
    → ใช้อาวุธเคมีใส่ประชาชน (มัสตาร์ดแก๊ส)

  • ทำลายชุมชน, พิพิธภัณฑ์, มรดกทางวัฒนธรรม

  • จับคนเอธิโอเปียเข้าค่ายกักกัน

  • ไล่ฆ่าเผ่าพื้นเมืองหลายกลุ่ม เช่น Oromo, Tigray

❖ ของฝาก:

  • เอธิโอเปีย–โซมาเลีย–ลิเบีย ไม่เคยฟื้นจากสงครามเชิงโครงสร้าง

  • รัฐไร้ศูนย์กลางอำนาจจนกลายเป็นประเทศล้มเหลว (failed states)


✴️ อิสราเอล – อาณานิคมยุคใหม่ภายใต้โลโก้ “รัฐ”

❖ ยึด: ปาเลสไตน์ (West Bank, Gaza, East Jerusalem)

❖ ความเหี้-:

  • สถาปนารัฐบนดินแดนของผู้อื่นในปี 1948 (Nakba = วันหายนะของชาวปาเลสไตน์)

  • ขับไล่ประชาชน 700,000+ คนออกจากบ้านเกิด

  • สร้างนิคมชาวยิวกลางดินแดนปาเลสไตน์อย่างผิดกฎหมายสากล

  • สังหาร, คุมขัง, จำกัดเสรีภาพ, ล้อมรอบดินแดนปาเลสไตน์ไว้แบบค่ายกักกัน

  • ทำลายโรงเรียน, โรงพยาบาล, ระบบสาธารณูปโภค

❖ ของฝาก:

  • คนรุ่นใหม่ของทั้งสองฝั่งเติบโตกับความเกลียดและการสังหาร

  • ความชอบธรรมทางกฎหมายสากลพังยับ

  • ความยุติธรรมกลายเป็นของเล่นมหาอำนาจ


✴️ รัสเซีย – จักรวรรดิยุคใหม่แบบปากบอก “ต้านจักรวรรดิ”

❖ ยึด: ไครเมีย, ดอนบาส, เชชเนีย, จอร์เจียบางส่วน, ล้มชาติรอบโซเวียต

❖ ความเหี้-:

  • ยึดไครเมียในปี 2014 โดยไม่ผ่านความเห็นชอบของยูเครน

  • บุกยูเครนเต็มรูปแบบในปี 2022 → ยิงมิสไซล์ใส่เมือง, รร., โรงพยาบาล

  • ใช้ Wagner Group ก่ออาชญากรรมในแอฟริกา, ตะวันออกกลาง

  • กดขี่ชนกลุ่มน้อยในไซบีเรีย, คอเคซัส

  • ใช้สงครามข่าวสาร (propaganda) ครอบงำภายในและภายนอกประเทศ

❖ ของฝาก:

  • ยูเครนพังยับ ชาติอดีตโซเวียตไม่มีเสถียรภาพ

  • สงครามเย็นกลับมาในโลกยุคใหม่


🔚 สรุป: โลกนี้แม่งไม่ยุติธรรมตั้งแต่แม่งตั้งโต๊ะ

  • มหาอำนาจตั้งกฎเอง แล้วถือสิทธิยกเว้นให้ตัวเอง

  • คนเล็ก ๆ ชาติเล็ก ๆ ต้องเล่นอยู่ในเกมที่ถูกโกงตั้งแต่ต้น

  • แต่การ “รู้ทัน” คือด่านแรกของการไม่ตกเป็นเหยื่อซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ถ้ามึงยังหลงคิดว่า “ประวัติศาสตร์มันผ่านไปแล้ว อย่ารื้อ” ก็เท่ากับยอมให้ไอ้พวกที่ฝากขี้ไว้ ยังคงเดินสวย ๆ อยู่บนเวทีโลก โดยไม่มีใครถามว่า… "ไอ้เหี้- นี่มันฆ่าคนไว้กี่ล้าน?"

โลกนี้แม่งยังต้องการความจริงอยู่มากกว่าที่คิด และคนที่จะกล้าขุดมันขึ้นมา ก็คือพวกมึงนี่แหละ

 

วันเสาร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

ชีวิตที่โลกไม่เคยอ่อนโยนให้: บันทึกถึง Nagiko Tono


『老けたなー…』 | 遠野なぎこオフィシャルブログ「Nagiko Tono Official Blog」Powered by Ameba     Tono Nagiko (遠野なぎこ) 1979-, Japanese Actress, 遠野凪子 | 遠野, 女優, 大 女優

"ฉันอยากหายดี ฉันอยากรักตัวเองให้ได้สักที" – Nagiko Tono


บทนำ

ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2025 สื่อญี่ปุ่นรายงานว่าเจ้าหน้าที่พบศพหญิงไม่ทราบชื่อในห้องพักแห่งหนึ่งที่โตเกียว — ไม่มีร่องรอยการงัดแงะ ประตูล็อกจากด้านใน โทรทัศน์ยังเปิดอยู่ มือถือวางข้างตัว และร่างเริ่มเน่าเปื่อยแล้วหลายวัน ก่อนที่ภายหลังจะมีการยืนยันว่า ห้องนั้นเป็นของนักแสดงหญิงผู้เคยโลดแล่นในวงการบันเทิงญี่ปุ่น — Nagiko Tono หรือชื่อจริง Akimi Aoki (青木秋美)

เธอจากไปเพียงลำพัง... ไม่มีครอบครัว ไม่มีเพื่อน ไม่มีคนรัก ไม่มีใครเลย

และนี่คือเรื่องราวของเธอ — ผู้หญิงคนหนึ่งที่โลกไม่เคยให้โอกาสได้ยืนอย่างมั่นคง


วัยเด็กที่ขาดรัก

Nagiko เกิดเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 1979 ในจังหวัดคานางาวะ ประเทศญี่ปุ่น
เธอเติบโตมาในครอบครัวที่แตกแยก พ่อแม่แยกทางกันตั้งแต่ยังเด็ก

แม่ของเธอเป็นคนทะเยอทะยานสูง อยากให้ลูกสาวเข้าสู่วงการบันเทิงตั้งแต่วัยเยาว์
เธอถูกบังคับให้เรียนการแสดง ถ่ายแบบ และเข้าฉากตั้งแต่ยังไม่ทันเข้าใจว่า “ความเป็นเด็ก” คืออะไร

เธอเคยพูดว่า “ฉันไม่เคยรู้ว่าความรักในครอบครัวหน้าตาเป็นยังไง”

และมันก็เป็นจุดเริ่มต้นของความว่างเปล่าที่เธอต้องพกพาไปตลอดชีวิต


ชีวิตในวงการ: แสงสว่างจอมปลอม

เธอเริ่มมีชื่อเสียงจากการเล่นละครและภาพยนตร์หลายเรื่องในช่วงทศวรรษ 1990–2000 เช่น Night Head, The Sea Watches, และ Chojin Sentai Jetman

แต่ในขณะที่ผู้ชมเห็นเด็กสาวสวยที่กำลังรุ่งโรจน์
ตัวเธอกลับซ่อนบาดแผลลึกเอาไว้ใต้เครื่องสำอางและรอยยิ้มที่ถูกฝึกมาอย่างดี

โลกเบื้องหลังกล้องไม่ได้มีแสงไฟ มีแต่เสียงกดดัน ความคาดหวัง และความเหงา


ความป่วยไข้ที่ไม่เคยหาย

ตั้งแต่อายุ 15 ปี เธอเริ่มป่วยเป็น โรคกินผิดปกติ (Eating Disorder)
ทั้งแบบ Anorexia (อดอาหาร) และ Bulimia (กินแล้วอาเจียน)

เธอเคยเขียนหนังสือชื่อ “欲しくて、食べて、吐いて、死にたくて。” – “อยากกิน กิน อาเจียน และอยากตาย”

ต่อมามีภาวะ โรคซึมเศร้า, OCD (ย้ำคิดย้ำทำ) และ การพึ่งพาแอลกอฮอล์ เข้ามาแทรกซ้อน

เธอนอนไม่หลับเป็นประจำ มีอาการพฤติกรรมซ้ำซาก เช่น ตรวจประตูซ้ำ ตรวจเตาแก๊สซ้ำจนกว่าจะรู้สึก “ปลอดภัย” และยังเคยพยายามทำร้ายตัวเองหลายครั้ง


ความรักที่ขาดแคลน

เธอเคยพยายามแต่งงานถึง 3 ครั้ง:

  • 2009: กับพนักงานบริษัท เลิกภายใน 72 วัน

  • 2014: กับเจ้าของบาร์ เลิกใน 55 วัน

  • 2023: แต่งงาน 13 วันก่อนหย่า

เธอแต่งเพราะอยากมีใครสักคน อยากมีที่ให้เรียกว่า “บ้าน” หรือ “ของฉัน”
แต่ทุกครั้งจบลงด้วยความกลัว ความไม่มั่นใจ และความเปราะบางที่ควบคุมไม่ได้

“ฉันอยากมีความรัก แต่ไม่เคยรู้เลยว่ารักคืออะไร”

“กลัวความเหงา แต่กลัวมากกว่าที่จะต้องอยู่กับใครแล้วรู้สึกว่ายังโดดเดี่ยว”


ความพยายามที่จะอยู่

ถึงจะเจ็บ เธอก็ไม่เคยยอมแพ้ง่าย ๆ

เธอพยายามเขียนหนังสือ เล่าเรื่องบาดแผลของตัวเอง เพื่อหวังว่าใครสักคนที่เจ็บอยู่เหมือนกัน จะรู้ว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียว

เธอเริ่มรับการรักษาอย่างจริงจังในปี 2024–2025 เข้ารับการดูแลแบบเยี่ยมบ้าน (訪問看護) กินยาตามแพทย์สั่ง เริ่มปรับอาหาร พยายามเพิ่มน้ำหนัก

และเพียงไม่กี่วันก่อนหายไปจากโลก เธอเพิ่งเขียนว่า “ฉันอยากรักตัวเองให้ได้”

มันคือเสียงสุดท้ายของความหวัง…


การจากไปที่เงียบงัน

เธอเสียชีวิตลำพังในห้องพักของตัวเอง ไม่มีใครสังเกต ไม่มีใครโทรหา ไม่มีใครไปเยี่ยมจนร่างเริ่มเน่า

ทีวียังเปิดอยู่ โทรศัพท์ยังวางข้างตัว — เหมือนเธอกำลังรอฟังอะไรบางอย่างที่ไม่เคยมา

คนที่พบศพคือ “พยาบาลเยี่ยมบ้าน” ที่เริ่มทำงานกับเธอได้ไม่ถึงเดือน


โลกนี้ไม่เคยใจดีกับเธอเลย

เธอไม่ได้เลือกเกิด
เธอไม่ได้เลือกแม่ที่ใช้เธอเป็นเครื่องมือ
เธอไม่ได้เลือกวงการที่กดดันให้ต้องเข้มแข็งเกินวัย
เธอไม่ได้เลือกความเปราะบางในใจที่ไม่มีใครมองเห็น

แต่เธอก็ยังอยู่มาได้ถึงอายุ 45
แม้จะโดดเดี่ยวตลอดทาง

บางคนจากไปแล้วก็ลืมเลือน
แต่บางคนอย่างเธอ — ควรถูกจดจำ…

ในฐานะคนที่พยายามจะรักตัวเองในโลกที่ไม่เคยรักเธอเลยสักวัน

อย่าเพิ่งด่าพระ... ถ้ายังไม่รู้จริง

ในยุคที่สื่อออนไลน์ครองโลก ข่าวสารไหลบ่าเหมือนพายุ คนจำนวนมาก "ตัดสิน" พระภิกษุสงฆ์กันอย่างง่ายดาย บางรูปถูกแชร์กล่าวหาว่าประพฤติไ...