ปี 1996 ฮ่องกงยังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากการปกครองของอังกฤษสู่การส่งมอบให้จีน เป็นยุคที่เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้เต็มไปด้วยทั้งความมั่งคั่งและเงามืดของอาชญากรรม — และในห้วงเวลานั้นเอง ชื่อของชายคนหนึ่งได้กลายเป็นตำนานที่ทั้งโลกต้องจดจำ
เขาคือ จาง จื่อเฉียง (Cheung Tze-keung) หรือที่โลกใต้ดินเรียกว่า “Big Spender”
ชีวิตต้นทาง: จากเด็กช่างไม้สู่โจรพันล้าน
จาง จื่อเฉียง เกิดในปี 1955 ที่มณฑลกวางสี ประเทศจีน โตในครอบครัวยากจน ก่อนจะย้ายมาอยู่ฮ่องกงในช่วงวัยรุ่น เขาเริ่มจากอาชีพช่างไม้ ก่อนจะเข้าสู่วงการมืดทีละก้าวจากการปล้นขนาดเล็ก จนขยับสู่การวางแผนคดีใหญ่ระดับประเทศ
เขาเป็นคนเฉลียวฉลาด พูดจาดี รู้จักสร้างบุญคุณกับผู้คนรอบตัว และมีเสน่ห์จนใคร ๆ ก็เชื่อใจ — แต่เบื้องหลังนั้นคือจิตใจที่กล้าบ้าบิ่นไม่เหมือนใคร
เขาชอบใช้เงินมือเติบ ใช้ชีวิตหรูในไนต์คลับ เล่นพนันด้วยเงินหลักล้านในคืนเดียว จนได้ฉายา “Big Spender” — ผู้ใช้เงินเหมือนมันไม่มีวันหมด
ก่อคดีใหญ่ครั้งแรก: ปล้นธนาคารและรถขนเงิน
ก่อนจะกลายเป็นโจรระดับตำนาน จางเริ่มจากการปล้นธนาคารและรถขนเงินหลายครั้งในยุค 80s เขามีทีมเล็ก แต่จัดการทุกอย่างอย่างมืออาชีพ — เคลื่อนไหวรวดเร็ว ไม่ทิ้งร่องรอย และแบ่งเงินอย่างเป็นระบบ
คดีเหล่านี้ทำให้เขากลายเป็นชื่อที่วงการใต้ดินให้ความเคารพ และตำรวจเริ่มรู้จักชื่อ “Cheung Tze-keung” แต่จับไม่ได้แม้แต่ครั้งเดียว
จุดเปลี่ยน: ลักพาตัวทายาทตระกูลมหาเศรษฐี
คดีที่หนึ่ง: วิกเตอร์ หลี่ (Victor Li)
วันที่ 23 พฤษภาคม 1996 จางและทีมลักพาตัว วิกเตอร์ หลี่ ลูกชายคนโตของ หลี่ เจียเฉิง (Li Ka-shing) มหาเศรษฐีหมายเลขหนึ่งของเอเชียในเวลานั้น
เขาจับวิกเตอร์ได้ระหว่างทางกลับบ้าน แล้วติดต่อเจรจากับหลี่โดยตรงในบ้านของเขาเอง — ไม่มีลูกน้อง ไม่มีอาวุธหนัก มีเพียงระเบิดติดตัว
“ผมต้องการค่าไถ่ 2,000 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง”
“ผมมีให้คุณแค่ 1,000 ล้านในคืนนี้ ถ้าจะเอาเพิ่ม ต้องรอพรุ่งนี้ผมไปถอนธนาคาร” หลี่ตอบ
จางคิดเพียงครู่เดียว ก่อนจะพยักหน้าและรับข้อเสนอ — กลายเป็น ค่าไถ่ที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์เอเชีย
วิกเตอร์ถูกปล่อยตัวโดยปลอดภัย และหลี่ไม่แจ้งตำรวจ เขาบอกภายหลังว่า
“ผมไม่คิดจะต่อรอง เพราะสิ่งเดียวที่สำคัญคือชีวิตของลูกชาย”
บทสนทนาที่กลายเป็นตำนาน
หลังได้เงินไป จางโทรกลับไปหาหลี่อีกครั้งและถามด้วยน้ำเสียงจริงใจว่า
“คุณหลี่ครับ... ผมควรเอาเงินไปลงทุนที่ไหนดี?”
หลี่ตอบด้วยความสงบและเมตตา
“ขึ้นอยู่กับคุณว่าจะใช้มันยังไง คุณจะดูแลครอบครัวได้ตลอดชีวิต หรือใช้มันหมดแล้วจบลงอย่างน่าเศร้าก็ได้”
“ถ้าจะให้แนะนำ ซื้อหุ้นในบริษัทของผมสิ มันจะเลี้ยงคุณได้สามรุ่น”
คำนั้นกลายเป็นคำพยากรณ์ที่แม่นยำอย่างน่าขนลุก เพราะอีกไม่กี่ปีต่อมา เขาก็หมดตัวและถูกประหารชีวิต
คดีที่สอง: วอลเตอร์ กว็อก (Walter Kwok)
ปี 1997 จางกลับมาลงมืออีกครั้ง คราวนี้เหยื่อคือ วอลเตอร์ กว็อก (Kwok Ping-sheung) ทายาทตระกูล Kwok แห่ง Sun Hung Kai Properties บริษัทอสังหาฯ ที่ใหญ่ที่สุดในฮ่องกง
วอลเตอร์ถูกจับขังนานกว่า 7 วัน จนครอบครัวต้องจ่ายค่าไถ่กว่า 600 ล้านดอลลาร์ฮ่องกงเพื่อแลกชีวิต
แต่ครั้งนี้ เขาทำพลาดใหญ่ — เพราะข่าวรั่วถึงจีนแผ่นดินใหญ่ และรัฐบาลปักกิ่งถือว่าคดีนี้เป็น “ภัยต่อเศรษฐกิจของชาติ”
ทำไมเขาถึงหนีรอดมาหลายคดี
แม้ฮ่องกงจะเป็นเมืองเล็ก แต่ยุคนั้นเต็มไปด้วยช่องโหว่:
-
ระบบกฎหมายระหว่าง ฮ่องกง–จีน ยังไม่เชื่อมกันเต็มที่
-
เขาใช้ เงินสดล้วน ไม่มีบัญชีธนาคาร ไม่มีหลักฐานโอน
-
ใช้เครือข่ายโกดังและที่พักตามชายแดน นิวเทอร์ริทอรีส์ ซึ่งตำรวจอังกฤษไม่กล้าเข้า
-
และสำคัญสุด — เขา ไม่ฆ่าเหยื่อ ทำให้คดีไม่ถูกยกระดับเป็นภัยร้ายแรง
ผลคือ เขากลายเป็นเหมือน “ผีในระบบ” — อยู่กลางระหว่างสองประเทศ ไม่มีใครตามทัน
จุดจบของ Big Spender
ปี 1998 หลังคดีของตระกูล Kwok จีนและฮ่องกงเริ่มประสานงานเต็มรูปแบบ จางถูกจับในจีน พร้อมหลักฐานการครอบครองอาวุธสงคราม และเงินค่าไถ่บางส่วนที่ยังเหลืออยู่
ศาลจีนตัดสินให้ประหารชีวิตด้วยการยิงเป้าในวันที่ 5 ธันวาคม 1998 ที่เมืองกวางโจว พร้อมลูกน้องอีกหลายคน
เขาอายุเพียง 43 ปีเท่านั้น
ผลสะเทือนหลังการตาย
-
แก๊งของเขาถูกกวาดล้างทั้งหมด ทรัพย์สินถูกยึดหลายร้อยล้านดอลลาร์
-
หลี่ เจียเฉิง ให้สัมภาษณ์ว่า “ผมให้อภัยเขา และหวังว่าเขาจะได้รู้ว่าผมไม่ถือสา”
-
วอลเตอร์ กว็อก มีอาการ PTSD และถูกปลดจากตำแหน่งประธานบริษัทในภายหลัง เพราะสุขภาพจิตทรุดหนัก
-
รัฐบาลจีน ใช้คดีนี้เป็นจุดเริ่มต้นของนโยบายร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างจีน–ฮ่องกง และเป็นต้นแบบของข้อตกลงส่งผู้ร้ายข้ามแดนในเวลาต่อมา
ตำนานในวัฒนธรรม
ชีวิตของจางถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์หลายเรื่อง เช่น Big Spender (2001), A True Mob Story (1998) และเป็นแรงบันดาลใจให้ตัวละครโจรผู้มีเสน่ห์ในหนังและซีรีส์ฮ่องกงจำนวนมาก
แม้เขาจะจบชีวิตอย่างน่าสลด แต่เรื่องราวของเขายังคงถูกพูดถึงในฐานะ “อาชญากรที่ท้าทายอำนาจของเงิน”
และสะท้อนคำพูดของหลี่ เจียเฉิง ได้อย่างแม่นยำ —
“คุณจะใช้มันอย่างมีประโยชน์ หรือปล่อยให้มันกลืนคุณเองก็ได้”
บทสรุป: เมื่อความกล้า ปัญญา และความโลภมาบรรจบกัน
คดีของจาง จื่อเฉียง ไม่ใช่แค่เรื่องของอาชญากรรม แต่คือเรื่องของ จิตวิทยาและโครงสร้างสังคมในยุคเปลี่ยนผ่าน
เขาคือคนที่ฉลาดพอจะขึ้นไปยืนตรงหน้ามหาเศรษฐีใหญ่สุดของเอเชีย แต่ไม่ฉลาดพอจะควบคุมตัวเองเมื่อได้สัมผัสอำนาจของเงิน
จางคือภาพสะท้อนของยุคสมัยที่เงินสามารถซื้อทุกอย่างได้ — ยกเว้นสติ และทางรอด