วันศุกร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2568

บทวิเคราะห์การยุบสภา 2568: เสียงสะท้อนจากรอยร้าวของการเมืองไทย

จุดเริ่มต้นของความวุ่นวายที่เหมือนจะรู้ตอนจบมาตั้งแต่ต้น

การเมืองไทยปีนี้ไม่ใช่แค่ "ตึงเครียด" แต่คือภาพของประเทศที่พยายามเดินบนเชือกเส้นเดียว ท่ามกลางแรงดึงจากทุกทิศทาง ทั้งพรรคการเมือง กลไกอำนาจเก่า เศรษฐกิจที่เปราะ และความคาดหวังของประชาชนที่กำลังหนาแน่นขึ้นทุกปี

การยุบสภาในวันที่ 11 ธันวาคม 2568 จึงไม่ได้เกิดขึ้นแบบปุบปับ แต่มันคือผลสุกงอมของแรงกดดันสะสมที่ไม่มีใครแบกรับต่อได้อีกแล้ว — ไม่ใช่แค่ฝ่ายรัฐบาล แต่คือทั้งระบบการเมืองที่เริ่มรับน้ำหนักของความไม่ไว้วางใจไม่ไหว

ก่อนหน้าวันยุบสภา เราเห็นสัญญาณเตือนเต็มไปหมด:

  • การถกเถียงเรื่องแก้รัฐธรรมนูญที่ยืดเยื้อ

  • รอยร้าวระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลเอง

  • แรงกดดันจากฝ่ายค้านและภาคประชาชน

  • กระแสไม่พอใจบทบาทของ ส.ว. ที่ไม่เคยจางหายไปจริง ๆ

ทั้งหมดนี้ทำให้การยุบสภาไม่ใช่เรื่อง "น่าตกใจ" เท่าไรนัก แต่สิ่งที่ทำให้หลายคนหงุดหงิด คือความรู้สึกว่าเราเหมือนวนกลับมาอยู่ที่จุดเดิมอีกครั้ง ทั้งที่เพิ่งผ่านการเลือกตั้งใหญ่มาไม่นานเองด้วยซ้ำ

และเมื่อ "อนุทิน ชาญวีรกูล" ในฐานะนายกฯ ตัดสินใจทูลเกล้าฯ ยุบสภา มันจึงกลายเป็นภาพที่หลายคนคาดเดาอยู่แล้ว... แต่ก็ยังอดตั้งคำถามไม่ได้อยู่ดีว่า

เรากำลังแก้ปัญหา หรือแค่กดรีเซ็ตให้ทุกอย่างเริ่มวุ่นวายกันใหม่อีกรอบ?


MOA ที่พังกลางสภา และจุดที่ทุกอย่างเริ่มร่วงลงทีละชั้น

ถ้าจะบอกว่ารัฐบาลชุดนี้ล่มเพราะสาเหตุเดียว คงไม่แฟร์กับความจริงเท่าไรนัก เพราะมันไม่ใช่เรื่อง "ดราม่าจังหวะเดียว" แต่เป็นการสะสมความเปราะบางของข้อตกลงทางการเมืองมาตั้งแต่วันแรกที่เซ็นกัน

ข้อตกลงที่ตั้งอยู่บนความไม่ไว้วางใจกันแต่แรก

MOA ระหว่างพรรคประชาชน–เพื่อไทย–ภูมิใจไทย ถูกออกแบบมาเพื่อภารกิจเฉพาะกิจ:

  • เดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญ

  • เปิดทางให้มีการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่อ้างว่าเป็นของประชาชนจริง ๆ

  • วางไทม์ไลน์รัฐบาลสั้น ๆ แล้วค่อยยุบสภาไปเลือกตั้งใหม่

ฟังเผิน ๆ มันเหมือนข้อตกลงของ "คนการเมืองที่ยอมจับมือกันเพื่ออนาคตประเทศ" แต่ใต้โต๊ะคือบรรยากาศที่ไม่มีใครไว้ใจกันเต็มร้อย ทุกฝ่ายต่างเผื่อใจว่าถ้าวันหนึ่งดีลนี้ไม่คุ้ม ก็พร้อมจะปล่อยมือได้ทุกเมื่อ

เมื่อถึงเวลาต้องโหวต "หัวใจของการเปลี่ยนแปลง" — เรื่องบทบาทของ ส.ว. ในการแก้รัฐธรรมนูญ พรรคภูมิใจไทยเลือกจะยืนฝั่งที่ต้องการคงอำนาจ ส.ว. 1/3 เอาไว้

จังหวะนั้นแหละ ที่ทุกคนในเกมรู้พร้อมกันโดยไม่ต้องพูดออกมาว่า:

ข้อตกลงนี้จบแล้ว

มันไม่ได้จบเพราะตัวหนังสือใน MOA แต่จบเพราะความหมายทางการเมืองที่ชัดขึ้นว่า ใครเลือกอยู่ข้างอนาคตใหม่ของการเมืองไทย และใครเลือกอยู่ข้างโครงสร้างเดิมที่เคยพิงอยู่แล้วสบายใจ


เมื่อ ส.ว. กลายเป็นตัวแปรที่ไม่มีใครมองข้ามได้

ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ถ้ามีคำหนึ่งที่ทำให้สังคมไทยรู้สึกทั้งเหนื่อย ทั้งโกรธ ทั้งหมดหวังพร้อมกัน คำนั้นน่าจะคือคำว่า "วุฒิสภา" หรือ ส.ว.

ไม่ใช่เพราะทุกคนเกลียดตัวบุคคล แต่เพราะบทบาทของ ส.ว. ถูกวางไว้ในตำแหน่งที่มีอำนาจมากเกินกว่าที่ประชาชนส่วนใหญ่จะรู้สึกสบายใจ — โดยเฉพาะเมื่อ ส.ว. ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง

การแก้รัฐธรรมนูญจึงกลายเป็นประเด็นที่ขยับยากที่สุด เพราะสุดท้ายแล้ว อำนาจชี้เป็นชี้ตายก็ยังต้องไปจบที่เสียงของ ส.ว. อยู่ดี

นี่คือเหตุผลว่าทำไมการโหวตของภูมิใจไทยในครั้งนี้ ถึงถูกมองว่าเป็นจุดหักเหสำคัญ:

  • มันไม่ใช่แค่การลงมติหนึ่งครั้ง

  • แต่มันคือการเลือกข้างระหว่าง "อนาคต" กับ "กติกาเดิมที่ทำให้ตัวเองมีพื้นที่ต่อรอง"

พอผลออกมาแบบนั้น จึงไม่แปลกที่

  • พรรคประชาชนจะมองว่านี่คือการหักหลังเจตนารมณ์ร่วม

  • เพื่อไทยรู้สึกอึดอัดแต่ก็ไม่พร้อมชนตรง ๆ

  • รัฐบาลทั้งชุดสั่นคลอน

  • สังคมรู้สึกว่าถูกดึงกลับไปอยู่ในความมืดเดิม ๆ อีกรอบ

เพราะสำหรับคนจำนวนมาก นี่คือการ "หยุดอนาคต" ไว้ตรงหน้า ทั้งที่โอกาสเปลี่ยนกติกาแบบนี้ไม่ได้มาบ่อย


แรงกดดันจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ: ฟางเส้นสุดท้าย

ทันทีที่ภาพชัดว่าข้อตกลงเรื่องรัฐธรรมนูญเดินต่อไม่ได้ แรงสั่นสะเทือนก็ลุกลามอย่างรวดเร็วจากห้องประชุมไปสู่ทั้งสภาและสังคม

ฝ่ายค้านเริ่มขยับ

  • มีข่าวเรื่องการรวบรวมรายชื่อเพื่อยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ

  • มีการตั้งคำถามต่อเสถียรภาพของรัฐบาล

  • มีการพูดถึงความชอบธรรมของการอยู่ในอำนาจต่อ

ในขณะเดียวกัน พรรคร่วมรัฐบาลเองก็เริ่มมองหน้ากันไม่ติดเท่าเดิมอีกแล้ว ข้อตกลงที่เคยคิดว่าแน่น กลายเป็นแค่กระดาษหนึ่งแผ่นที่ไม่มีใครอยากพูดถึง

รัฐบาลรู้ดีว่าถ้าปล่อยให้สถานการณ์เดินไปถึงจุดอภิปรายไม่ไว้วางใจจริง ๆ:

  • ภาพลักษณ์จะยิ่งเสียหายมากขึ้น

  • ความขัดแย้งภายในจะยิ่งปะทุ

  • และอาจจบลงด้วยการต้องออกจากอำนาจแบบเสียรูปยิ่งกว่านี้

การยุบสภาในจังหวะนี้จึงเป็นการ "ชิงเปิดเกมใหม่" ก่อนโดนมุมบีบหนักกว่านี้ จะมองว่าเป็นการหนีก็ได้ จะมองว่าเป็นการคืนอำนาจให้ประชาชนก็ได้ ทั้งสองมุมถูกจริตของการเมืองไทยพอ ๆ กัน

การเมืองจริงไม่มีพระเอกนางเอกชัดเจน มีแต่คนที่เลือกสิ่งที่ตัวเองคิดว่าเจ็บน้อยที่สุดในเวลานั้น


และแล้วคำถามใหญ่ก็ตามมา: อนุทินเล่นเพื่ออุดมการณ์ หรือเพื่ออำนาจ?

หลังฝุ่นควันการโหวตและยุบสภาเริ่มจาง สิ่งที่ยังค้างอยู่ในใจคนจำนวนมากไม่ใช่แค่ความหงุดหงิด แต่คือภาพที่ชัดขึ้นของ "อนุทิน" และพรรคภูมิใจไทย

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ภูมิใจไทยถูกอ่านว่าเป็นพรรคที่:

  • ประนีประนอมเก่ง

  • เข้าได้ทุกขั้ว

  • เล่นเกมอำนาจแบบยืดหยุ่นสูง

ในสายตานักการเมือง นี่คือข้อดี — แต่ในสายตาประชาชนที่อยากเห็นการเมืองแบบใหม่ นี่คือสัญญาณว่า

พรรคนี้พร้อมปรับทุกอย่าง ยกเว้นโครงสร้างอำนาจที่ตัวเองได้ประโยชน์

การโหวตให้ ส.ว. ยังมีบทบาทสำคัญต่อการแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ จึงไม่ใช่แค่การเลือกข้างในเชิงเทคนิค แต่เป็นการประกาศตัวกลาย ๆ ว่า:

"เราเลือกอยู่ฝั่งที่ระบบเก่ายังมีที่ยืน"

ประชาชนจำนวนมากเลยรู้สึกว่า การยุบสภาครั้งนี้ไม่ใช่แค่ตอนจบของรัฐบาลเฉพาะกิจ แต่เป็นตอนที่เปิดเผยชัดขึ้นว่า นักการเมืองที่พูดเรื่องอนาคตสวย ๆ ระหว่างหาเสียง สุดท้ายก็ยังเลือกความปลอดภัยของอำนาจตัวเองก่อนเหมือนเดิม


ทำไมการเมืองไทยถึงรู้สึกเหมือนละครตอนเดิมซ้ำ ๆ

ความรู้สึกว่าการเมืองไทย "วนลูป" ไม่ได้เกิดจากอารมณ์ล้วน ๆ แต่มันมีเหตุผลรองรับชัดเจนในเชิงโครงสร้าง

เราชอบโทษนักการเมืองว่าตระบัดสัตย์ ผิดคำพูด ไม่รักษาสัญญา แต่ถ้ามองให้ลึกลงไปอีกชั้น จะเห็นว่าปัญหาจริง ๆ คือ:

กติกาถูกออกแบบมาให้ความซื่อสัตย์ทางการเมือง อยู่รอดได้ยากกว่าคนที่เล่นเกมดีลเก่ง

ตราบใดที่

  • รัฐธรรมนูญยังผูกปมอำนาจไว้กับกลไกที่ประชาชนแตะไม่ได้โดยตรง

  • การตั้งรัฐบาลต้องผ่านการต่อรองที่ใช้ผลประโยชน์เป็นชิปแลกเปลี่ยน

  • การแก้กติกาใหญ่ต้องอาศัยความยินยอมจากผู้ที่ได้ประโยชน์จากกติกาเดิม

เราก็จะเห็นเหตุการณ์แบบเดิมซ้ำ ๆ:

  • พรรคที่หาเสียงแรง ๆ เรื่องปฏิรูป พอเจอความจริงของการตั้งรัฐบาลก็ต้องหันไปดีล

  • พรรคที่เคยประกาศเส้นแบ่งชัดเจนสุดท้ายต้องลบเส้นนั้นทิ้ง เพื่ออยู่ในสมการอำนาจ

  • ประชาชนรู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่คนดูละครที่เปลี่ยนหน้าแสดง แต่บทเดิมทั้งเรื่อง

นี่แหละคือเหตุผลที่คนรุ่นใหม่จำนวนมากเริ่มหมดศรัทธาในคำว่า "การเมืองแบบเลือกตั้ง" เพราะต่อให้เราเลือกตั้งกี่ครั้ง ถ้ากติกาเดิมยังคงตรึงการเมืองไว้เหมือนเดิม ผลลัพธ์ก็ไม่ต่างจากการรีสตาร์ตเครื่องที่ลงโปรแกรมเก่าไว้ทั้งหมด

แต่เรื่องที่สำคัญคือ — แม้ระบบจะวนลูป แต่สังคมไม่เคยวนกลับที่เดิมจริง ๆ
เพราะทุกครั้งที่เกิดรอยร้าวใหม่ ๆ มันคือแรงกดดันที่สะสมอยู่ใต้ผิวการเมืองไทย และกำลังจะผลักอะไรบางอย่างให้ขยับในระยะยาว


สังคมไทยกำลังอยู่ในรอยต่อที่เจ็บที่สุด แต่ก็เป็นรอยต่อที่เปลี่ยนอนาคตได้มากที่สุด

เราอยู่ในยุคที่คนจำนวนมากรู้สึกทั้งโกรธ เหนื่อย ท้อ หมดหวัง… แต่ขณะเดียวกัน เราก็เห็นสัญญาณบางอย่างชัดเจนขึ้นกว่าทุกยุคที่ผ่านมา:

  • คนรุ่นใหม่ตั้งคำถามกับโครงสร้างอำนาจอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

  • การเมืองบนโลกออนไลน์กำลังกลายเป็นพลังทางสังคมจริง ๆ ที่กดดันฝ่ายการเมืองได้

  • การใช้กฎหมายควบคุมความคิดเริ่มได้ผลน้อยลง เพราะคนไม่กลัวเหมือนเมื่อก่อน

  • เศรษฐกิจที่ย่ำแย่ทำให้ทุกฝ่ายรู้ว่า “กติกาแบบเดิมพาประเทศไปไม่ได้อีกต่อไป”

นี่คือจุดที่เจ็บที่สุด… แต่ก็เป็นจุดที่ใกล้ที่สุดกับการเปลี่ยนในระดับโครงสร้าง
เพราะระบบอำนาจแบบเดิมอยู่ได้ด้วยสองอย่าง: ความกลัว และความเชื่องของสังคม
แต่วันนี้ทั้งสองอย่างกำลังลดลงพร้อมกัน


ฐานสังคมกำลังเปลี่ยนเร็วกว่ารัฐ และนั่นคือสิ่งที่รัฐหยุดไม่ได้

ในอดีต การเปลี่ยนผู้นำหรือรัฐบาลคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนประเทศ
แต่ยุคนี้ทุกประเทศที่เคยติดหล่มเหมือนไทย (ไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้) ล้วนเปลี่ยนจาก “ฐานประชาชน” ก่อนทั้งนั้น

เมื่อฐานสังคมพร้อม การเมืองก็ต้องตาม
ไม่ใช่เพราะผู้นำอยากปรับตัว แต่เพราะระบบเดิม “อยู่ไม่ได้” ถ้าไม่ปรับ

ในประเทศไทยตอนนี้ เราเห็นการเปลี่ยนฐานสังคมชัดขึ้นเรื่อย ๆ:

  • คนอายุต่ำกว่า 40 คือกลุ่มที่มีอิทธิพลทางการเมืองมากที่สุด เช่นเดียวกับในหลายประเทศก่อนถึงช่วงปฏิรูปใหญ่

  • ความคาดหวังเรื่องความโปร่งใสสูงขึ้นจนการเมืองแบบเดิมสวมหน้ากากได้ยากขึ้น

  • สื่อออนไลน์รื้อผนังการควบคุมข้อมูลจนระบบเดิมหายใจลำบาก

  • การต่อต้านเชิงสันติและเชิงวัฒนธรรมกลายเป็นสิ่งที่รัฐควบคุมไม่ได้แล้ว

นี่คือแรงเปลี่ยนแปลงที่ไม่ใช่การประท้วง แต่เป็นวิวัฒนาการของทั้งสังคม


การเลือกตั้งครั้งหน้า — ไม่ใช่แข่งขันว่าใครเป็นนายก แต่คือการวัดอุณหภูมิประชาชนทั้งประเทศ

เมื่อเข้าสู่การเลือกตั้งใหม่ เราจะเห็นพรรคการเมืองต่าง ๆ ใช้หน้าที่นายกฯ เป็นเป้าหมายหลัก แต่ความจริงคือ:

การเลือกตั้งรอบนี้จะเป็นเหมือนเครื่องวัดความเปลี่ยนของสังคมไทยมากกว่าการชิงอำนาจในรัฐสภา

สิ่งที่ต้องจับตาไม่ใช่แค่จำนวนที่นั่งของพรรคต่าง ๆ แต่คือ:

  • กระแสของคนรุ่นใหม่ที่ไม่ยอมถูกลากกลับไปกติกาเก่า

  • ปฏิกิริยาของประชาชนต่อพรรคที่ถูกมองว่า “อยู่ฝ่ายระบบเดิม”

  • สัดส่วนคะแนนของพรรคที่เสนอการปฏิรูปเชิงโครงสร้างจริง ๆ

  • ความเหนื่อยล้าของประชาชนที่อาจแสดงออกผ่านโหวตเชิงสัญลักษณ์

แม้ ส.ว. ยังมีบทบาทต่อการเลือกนายกฯ และอาจทำให้เกมการเมืองหลังเลือกตั้งเต็มไปด้วยดีล แต่กระแสสังคมในครั้งนี้จะกำหนดทิศทางประเทศหลังปี 2569 อย่างชัดเจน


อนาคตการเมืองไทยใน 7–12 ปีข้างหน้า: ช้า… แต่เปลี่ยนจริง เปลี่ยนลึก และเปลี่ยนเพราะเลี่ยงไม่ได้

การเมืองไทยจะไม่พลิกแบบรวดเร็ว แต่จะค่อย ๆ เปลี่ยนชั้นลึกของระบบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เพราะโครงสร้างอำนาจเก่าจะถูกบีบจากสองด้าน:

  1. แรงของประชาชนยุคใหม่ที่ไม่ยอมถอย

  2. แรงของเศรษฐกิจที่บังคับให้รัฐต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด

สิ่งที่มีแนวโน้มเกิดขึ้น:

  1. ส.ว. จะค่อย ๆ ถูกลดบทบาทลง ไม่ว่ารัฐจะอยากหรือไม่
    เพราะความกดดันทั้งในและนอกประเทศจะทำให้กลไกนี้ไม่สามารถอยู่ในรูปเดิมได้อีกแล้ว

  2. รัฐจะเปิดพื้นที่ให้ประชาชนมากขึ้น (แม้จะไม่พูดตรง ๆ)
    เพราะการกดทับมาก ๆ ในยุคที่สื่อควบคุมไม่ได้ จะยิ่งทำให้รัฐปั่นป่วนเอง

  3. พรรคการเมืองแบบเก่าจะหายไปทีละพรรค
    ไม่ใช่เพราะแพ้เลือกตั้ง แต่เพราะไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับฐานสังคมรุ่นใหม่ได้

  4. พรรคการเมืองรุ่นใหม่จะกลายเป็นแกนหลักของสภา
    เพราะโครงสร้างประชากรบังคับให้ต้องเป็นแบบนั้น ไม่ใช่เพราะใครใจดี

  5. ผู้นำการเมืองประเภท "ประนีประนอมระหว่างสองรุ่น" จะขึ้นมาโดดเด่น
    เพื่อประคองช่วงรอยต่อระหว่างระบบเก่าและระบบใหม่

  6. กฎหมายหลายฉบับที่เคยใช้ควบคุมสังคมจะอ่อนแรงลงเอง
    เพราะไม่สอดคล้องกับโลกและเศรษฐกิจในรุ่นถัดไป


สรุปทิ้งท้าย — การยุบสภาครั้งนี้ไม่ใช่จุดจบของรัฐบาล แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่กว่า

การยุบสภา 2568 ไม่ได้เป็นเพียงการรีเซ็ตการเมืองอีกครั้ง
แต่มันคือสัญญาณว่าระบบเดิมกำลังไปต่อไม่ไหว

ความขัดแย้งครั้งนี้ทำให้เราเห็นชัดว่า:

  • โครงสร้างเดิมพยายามรักษาตัวเอง

  • พรรคการเมืองหลายพรรคเลือกอยู่ข้างความปลอดภัยมากกว่าอุดมการณ์

  • ประชาชนเริ่มไม่ทนกับการวนลูปเดิม ๆ

และเมื่อแรงกดดันจากสังคมกับเศรษฐกิจทับซ้อนกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ประเทศไทยจะเดินเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านที่ไม่มีใครหยุดได้ แม้คนที่อยู่ในระบบจะพยายามถ่วงเวลาเพียงใด

สุดท้ายแล้ว การเมืองไทยจะเปลี่ยนเพราะประชาชนไม่กลับไปเป็นแบบเดิมอีกแล้ว
และเมื่อฐานสังคมเปลี่ยน ท้องฟ้าการเมืองก็ไม่มีทางกลับไปสีเดิมได้

นี่ไม่ใช่การมองโลกสวย แต่เป็นการมองโลกตามกฎธรรมชาติของอำนาจและสังคมมนุษย์ — ซึ่งตอนนี้กำลังพาเราเข้าสู่บทใหม่ของประเทศอย่างช้า ๆ แต่แน่นอน

บทวิเคราะห์การยุบสภา 2568: เสียงสะท้อนจากรอยร้าวของการเมืองไทย

จุดเริ่มต้นของความวุ่นวายที่เหมือนจะรู้ตอนจบมาตั้งแต่ต้น การเมืองไทยปีนี้ไม่ใช่แค่ "ตึงเครียด" แต่คือภาพของประเทศที่พยายามเดินบนเ...